ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3125.ธนาคารมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังผู้ค้ำประกันก่อนที่ผู้กู้จะผิดนัด ธนาคารไม่มีอำนาจฟ้องผู้ค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2106/2566 (หน้า 1847 เล่ม 8) (ประชุมใหญ่) หนี้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยงดคิดดอกเบี้ย และปลอดการชำระในปีแรก หลังจากนั้นให้ผ่อนชำระรายเดือนและให้เสร็จสิ้นภายใน 24 เดือน หนี้ต้นเงินส่วนที่เหลือ ให้หมุนเวียนบัญชีเดินสะพัดกู้เบิกเงินเกินบัญชีต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดดังเช่นสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ครบกำหนดเวลาสิ้นสุดแล้ว แต่โจทก์และจำเลยที่ 1 ยังคงเดินสะพัดทางบัญชีเรื่อยมา โดยถือว่าเป็นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไม่มีกำหนดเวลานั้น เป็นหนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้และจำเลยที่ 1 เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์โดยมีการหักทอนบัญชีทุกวันสิ้นเดือน แม้ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ผู้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์ทุกเดือน ก็ยังไม่ถือว่ามีการผิดนัดตาม ป.พ.พ.มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่ เพราะระหว่างนี้ยังมีการเดินสะพัดทางบัญชีต่อกัน การหักทอนบัญชีทุกเดือนเพื่อทราบว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นใครเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กันอย่างไร มิใช่เป็นการกระทำเพื่อชำระหนี้กรณีสัญญาสิ้นสุด จนกว่าจะมีการหักทอนบัญชี บอกเลิกสัญญาและเรียกร้องให้ชำระหนี้คงเหลือกรณีสัญญาสิ้นสุด การที่โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยที่ 1 เดินสะพัดทางบัญชีอีกต่อไปและทำการหักทอนบัญชีหนี้เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ไม่มีการเบิกถอนเงินจากบัญชีเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 มียอดหนี้ต้นเงินค้างชำระแก่โจทก์เกินวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้ว กรณีถือได้ว่าการเดินบัญชีตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ได้สิ้นสุดเลิกกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 โจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ได้โดยพลันตาม ป.พ.พ. มาตรา 203
การเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยไม่มีกำหนดเวลาเกิดจากโจทก์หักทอนบัญชีแล้วไม่ให้จำเลยที่ 1 กู้เบิกเงินเกินบัญชีอีก ไม่ใช่การเลิกสัญญาตามกำหนดเวลาสิ้นสุดที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่มีผลทำให้จำเลยที่ 1 ตกเป็นลูกหนี้ผิดนัด โจทก์ชอบที่จะบอกกล่าวแจ้งเตือนจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ต้นเงินที่ใช้ชำระแก่โจทก์ แต่โจทก์หาได้กระทำไม่ จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ตกเป็นลูกหนี้ผิดนัดตาม ป.พ.พ.มาตรา 204 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราผิดนัดร้อยละ 18 ต่อปี ในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ เมื่อสัญญาเลิกกันแล้วโจทก์จะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 1 ในอัตราผิดนัดได้เฉพาะกรณีที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดแล้วเท่านั้น โจทก์เพิ่งมีหนังสือบอกกล่าวทวงถาม วันที่ 5 มีนาคม 2561 ให้จำเลยทั้งสอง ชำระหนี้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับหนังสือวันที่ 12 และ 10 มีนาคม 2561 ตามลำดับ ครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งสองเพิกเฉย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นตกเป็นลูกหนี้ผิดนัดวันที่ 12 พฤษภาคม 2561 ภายหลัง ป.พ.พ.มาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 กรณีต้องบังคับตามมาตรา 686 ที่แก้ไขใหม่
จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันแม้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้น แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปถึงจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก่อนที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นตกเป็นผู้ผิดนัด และภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นตกเป็นผู้ผิดรับแล้ว โจทก์ไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด ตาม ป.พ.พ.มาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้เป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 686 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3124.รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปในระหว่างอยู่ในความครอบครองของผู้เช่าซื้อ

คำพิพากษาฎีกาที่ 2095-2096/2566 (หน้า 1836 เล่ม 8) ผลแห่งคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ไม่ส่งมอบรถยนต์บรรทุกและรถยนต์บรรทุกหางพ่วงให้แก่จำเลย เนื่องจากอู่ ส. หรือบริษัท ส. ซึ่งนำรถยนต์บรรทุกไปติดตั้งกระบะหางพ่วงยักยอกรถยนต์บรรทุกนั้นไป โดยไม่ใช้ความผิดของจำเลย และขอให้โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญา คืนเงินดาวน์ ค่าเช่าซื้อ ค่าเบี้ยประกันและค่าทำประกันชีวิตตามสัญญาทั้งสองฉบับแก่จำเลย มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยคู่ความในคดีตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ข้อเท็จจริงคดีนี้ย่อมรับฟังได้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่า ภายหลังจากทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกที่เช่าซื้อสูญหายไปในระหว่างการครอบครองของจำเลยโดยมีการนำไปให้อู่ ส. หรือบริษัท ส. ติดตั้งแท่นรับหางพ่วงและกระบะรถพ่วงกับรถพ่วง เมื่อสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยสิ้นสุดลงเพราะเหตุแห่งการสูญหายของทรัพย์สินที่เช่าซื้อตาม ป.พ.พ.มาตรา 567 และไม่ปรากฏว่าเหตุแห่งการสูญหายนั้นเกิดเพราะความผิดของจำเลย หรือจำเลยมีส่วนรับผิดชอบที่ก่อให้เกิดความสูญหาย ความรับผิดของจำเลยย่อมต้องเป็นไปตามหนังสือสัญญาเช่าซื้ออันได้แก่ ค่าเสียหายที่ผู้ให้เช่าซื้อได้รับ เบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถ ค่าทนายความ หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดเพียงเท่าที่ได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นโดยมีเหตุผลตามสมควรตามข้อสัญญาเท่านั้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดส่งมอบรถยนต์บรรทุกและรถยนต์บรรทุกหางพ่วงที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนโจทก์

จำเลยหยุดชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์เนื่องจากรถยนต์บรรทุกและรถยนต์บรรทุกหางพ่วงที่เช่าซื้อสูญหาย เป็นกรณีที่จำเลยไม่ได้ครอบครองใช้ประโยชน์ทรัพย์สินที่เช่าซื้อนับแต่วันที่รถยนต์บรรทุกและรถยนต์บรรทุกหางพ่วงสูญหายอันมิใช่ความผิดของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าขาดประโยชน์ส่วนนี้ให้แก่โจทก์

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

3123.ผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดไปยังผู้ค้ำประกันตามสำเนาทะเบียนบ้าน มิใช่สถานที่ทำงานของผู้ค้ำประกัน เป็นการส่งคำบอกกล่าวโดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2438/2566 (หน้า 48 เล่ม 8) โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ตามแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรและเป็นที่อยู่ซึ่งระบุไว้ในสัญญาค้ำประกัน การบอกกล่าวของโจทก์เป็นการปฏิบัติไปตามข้อตกลงในสัญญาที่มีต่อกันตามสัญญาค้ำประกันข้อ 10 ที่ระบุว่า บรรดาหนังสือติดต่อ และ/หรือหนังสือบอกกล่าวทั้งหลายที่จะต้องส่งให้แก่จำเลยที่ 2 หากส่งไปยังที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ตามที่ระบุไว้ในหน้าแรกส่วนต้นของสัญญาค้ำประกัน โดยส่งเองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือไม่ลงทะเบียน ให้ถือว่าส่งให้แก่จำเลยที่ 2 โดยชอบแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีผู้รับหรือไม่ ดังนี้ การส่งหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดซึ่งโจทก์ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาที่มีต่อกัน ทั้งยังเป็นการส่งอย่างเป็นทางการไปยังภูมิลำเนาที่อาศัยของจำเลยที่ 2 จึงนับว่ากระทำไปโดยชอบ แม้การส่งหนังสือบอกกล่าวเช่นนี้ไม่พบจำเลยที่ 2 และไม่มีผู้ใดรับไว้ ทั้งไม่มีผู้ใดมารับเอกสารนั้นไปภายในเวลาที่กำหนด แต่ก็ถือว่าการแสดงเจตนาโดยหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ได้ไปถึงจำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 169 และมีผลเป็นการบอกกล่าวแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันตาม ป.พ.พ.มาตรา 686 วรรคหนึ่ง โดยชอบแล้ว

จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันเป็นผู้บริโภค การยื่นคำฟ้องอุทธรณ์และฎีกาตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ในคดีผู้บริโภค ย่อมได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในชั้นที่สุดตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลและค่าใช้จ่ายในการส่งคำคู่ความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามาด้วย จึงต้องคืนเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระมาทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 2

( หมายเหตุ 1 จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในคำรับรองของผู้ค้ำประกันเพื่อให้จำเลยที่ 1 นำไปประกอบการขอสินเชื่อ โดยในการทำคำรับรองของผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ยอมกระทำไปตามที่พี่สาวของตนร้องขอ

2 โจทก์ได้รับคำเสนอของจำเลยที่ 1 แล้ว ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินดาวน์เพิ่มขึ้น และหาบุคคลมาเป็นผู้ค้ำประกันเพิ่มด้วย

3 ต่อมาเวลาภายหลังจากจำเลยที่ 1 ชำระเงินดาวน์ให้แก่โจทก์เพิ่มเติมแล้ว โจทก์อนุมัติสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ 1

4 จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์เพียง 7 งวดแล้วไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีก โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถาม และบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย

5 จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เคยแสดงเจตนาทำสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ แต่เมื่อโจทก์อนุมัติการเช่าซื้อรถยนต์ตามคำเสนอของจำเลยที่ 1 การแสดงเจตนาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ย่อมตกไปพร้อมกับคำเสนอของจำเลยที่ 1 แม้ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะเจรจาตกลงกันใหม่ และโจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินดาวน์เพิ่มขึ้นกับหาบุคคลมาเป็นผู้ค้ำประกันอีกหนึ่งคน จนในที่สุดมีการทำสัญญาเช่าซื้อกัน จำเลยที่ 2 มิได้ตกลงยินยอมค้ำประกันหนี้โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันใหม่ในครั้งหลัง จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้

6 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ไม่สนองรับคำเสนอขอสินเชื่อของจำเลยที่ 1 ในทันทีที่ได้รับคำเสนอโดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังมีการเจรจาตกลงเงื่อนไขเกี่ยวกับจำนวนเงินดาวน์และเพิ่มเติมหลักประกันแห่งหนี้ต่อไป จึงมิได้ส่งผลให้การแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ต้องตกไปหรือสิ้นผลผูกพันดังที่จำเลยที่ 2 เข้าใจและอ้างมาในฎีกา)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

3122.สิทธิในการเบิกค่าเช่าจากทางราชการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1607/2565 (หน้า 34 เล่ม 8) พ.ร.ฎ. ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2547 มาตรา 7(2) กำหนดหลักเกณฑ์ไม่ให้สิทธิข้าราชการที่มีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรสในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่ เบิกค่าเช่าบ้านโดยไม่มีบทบัญญัติว่าให้ใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรานี้เฉพาะในขณะที่ข้าราชการยื่นขอใช้สิทธิ ดังนี้จึงต้องตีความว่าบทบัญญัติดังกล่าวย่อมต้องบังคับใช้ตลอดเวลาที่ข้าราชการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการ กล่าวคือข้าราชการผู้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านนั้นต้องไม่มีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรสในท้องที่ที่ตนไปประจำในช่วงเวลาที่เข้าใช้สิทธินี้ หาใช่ตีความว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวบังคับใช้แต่เฉพาะเวลาที่ข้าราชการยื่นคำขอใช้สิทธิ แล้วข้าราชการผู้นั้นยังคงสิทธิในการเบิกค่าเช่าบ้านได้ตลอดช่วงเวลาที่ประจำสำนักงานใหม่ในท้องที่นั้นไม่

จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิที่ดินพร้อมบ้านทั้งส่วนของบิดาและส่วนของน้องชายมาโดยไม่มีภาระหนี้เกี่ยวกับบ้านหลังดังกล่าว จำเลยย่อมเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนี้อย่างสมบูรณ์ กรณีต้องด้วยหลักเกณฑ์ว่าจำเลยมีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองในท้องที่ที่ตนไปประจำ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการ

(นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849)

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3121.ชักชวนให้ร่วมลงทุนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป

คำพิพากษาฎีกาที่ 2385/2566 (หน้า 1504 เล่ม 6) การโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฎต่อประชาชนหรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป อันเป็นความผิดสำเร็จฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนพ.ศ 2527 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ไม่จำเป็นที่จำเลยทั้งสองจะต้องทำการต่อผู้เสียหายแต่ละคนด้วยตนเองทุกครั้งเป็นคราวๆไป เพียงแต่จำเลยทั้งสองแสดงข้อความให้ปรากฏแก่ผู้เสียหายเพียงบางคน แล้วเป็นผลให้ประชาชนหลงเชื่อและนำเงินมาให้จำเลยทั้งสองกู้ยืม ก็ถือว่าเป็นการกระทำความผิดแล้ว ข้อสำคัญความผิดสำเร็จอยู่ที่การกระทำนั้นเป็นเหตุให้ตนหรือบุคคลใดได้กู้ยืมเงินไปจากผู้ถูกหลอกลวง

จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันกู้ยืมเงินไปจากผู้เสียหายทั้งสิบสามผู้ถูกหลอกลวงแล้ว แม้ผู้เสียหายทั้งสิบสามจะหวังผลประโยชน์ตอบแทนที่จำเลยทั้งสองกับพวกเสนอ ก็เป็นผลสืบเนื่องจากการร่วมกันกระทำหรือชักชวนของจำเลยทั้งสองกับพวก และการที่ผู้เสียหายทั้งสิบสามหลงเชื่อนำเงินมาให้จำเลยทั้งสองกับพวกกู้ยืมเงิน แม้ผู้เสียหายบางคนจะนำผลประโยชน์ตอบแทนที่เคยได้รับจากจำเลยทั้งสองกับพวกบางส่วนไปรวมเป็นต้นเงินที่กู้ยืมตามสัญญากู้ยืมเงินก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองกับพวกกู้ยืมเงินจากผู้เสียหายทั้งสิบสามตามจำนวนเงินในสัญญากู้ยืมเงินนั้น เมื่อจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสองกู้ยืมไปจากผู้เสียหายทั้งสิบสามมีจำนวนเกินกว่าห้าล้านบาท การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ 2527 มาตรา 5(1)(จ)

การกระทำความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ 2527 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 5 (1)(จ) ,12 ของจำเลยทั้งสองมีสภาพเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายทั้งสิบสามที่เกิดขึ้นคนละวันเวลา และสถานที่แตกต่างกัน โดยเจตนาให้เกิดผลต่อผู้เสียหายทั้งสิบสามแต่ละคนแยกต่างหากจากกัน ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จสำหรับผู้เสียหายทั้งสิบสามแต่ละคนแล้ว จึงเป็นความผิดหลายกรรมตามจำนวนผู้เสียหายทั้งสิบสามที่จำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวง มิได้พิจารณาจากองค์ประกอบความผิดที่จะต้องกระทำต่อบุคคลทั้งสิบคนซึ่งมีจำนวนเงินกู้ยืมรวมกันตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไปเพียงอย่างเดียว

(นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ และกรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849)

 

นายกสภาทนายความเชิญชวนพี่น้องทนายความร่วมเชียร์และให้กำลังนักกีฬา มหกรรมวันกีฬา ทนายความ ณ เมืองลิง จังหวัด ลพบุรีเกม

นายกสภาทนายความเชิญชวนพี่น้องทนายความร่วมเชียร์และให้กำลังนักกีฬา มหกรรมวันกีฬา ทนายความ ณ เมืองลิง จังหสัดลพบุรีเกม

ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ซึ่งที่ผ่านสภาทนายความฯ ได้จัดกิจกรรม มหกรรมวันกีฬาทนายความขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยแต่ละปีได้มีสภาทนายความจังหวัดละภาคร่วมกันเป็นเจ้าภาพโดยสภาทนายให้การสนับสนุน

สำหรับปี 2567 นี้โดยมีสภาทนายความจังหวัดลพบุรีขอเป็นเจ้าภาพ ซึ่งมีชนิดกีฬาที่บรรจุเจ้าแข่งขันประกอบฟุตบอลและกอล์ฟ ซึ่งมีทีมทนายความแต่ละภาครวมทั้งในกรุงเทพฯและพื้นที่ภาค.1 ส่งร่วมแข่งขันไม่ต่ำกว่า 20 ทีม

สำหรับวัตถุประสงค์ของมหกรรมวันกีฬา ทนายความ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มาออกกำลังกายกัน เนื่องจากแต่ละวันทนายแต่คนอยู่กับสำนวนคดี เดินทางตลอดเวลา การออกกำลังทำให้ทั้งสุขภาพกายและใจดีขึ้น และเพื่อให้พี่น้องทนายความแต่ละภาภมาพบปะกันเพื่อเป็นแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์รวมทั้งด้านอื่นๆต่อไป

การจัด มหกรรมวันกีฬา ทนายความประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 12-14 มกราคม 2567 ณ จังหวัด ลพบุรี จึงขอเชิญพี่น้องทนายความทุกภาคทุกจังหวัดมาร่วมเชียร์และมาให้กำลังใจแก่นักกีฬาในครั้งนี้ด้วย

 

พิธีมอบใบประกาศนียบัตร ผู้ผ่านการอบรมวิชาว่าความ รุ่นที่ 60

  • สภาทนายความ จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตร ผู้ผ่านการอบรมวิชาว่าความ รุ่นที่ 60

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2566 ที่หอประชุมพ่อขุนรามคำแหง มหาวิทยาลัยรามคำแหง สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดอบรมจริยธรรมและมรรยาททนายความให้แก่ผู้ผ่านการอบรมและทดสอบวิชาว่าความรุ่นที่ 60 และผู้ผ่านการฝึกหัดในสำนักงานทนายความมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ประจำปี พ.ศ.2566

โดยในช่วงเช้า เวลา 9.00 -12.00 น. พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร, รศ.ดร. รองอธิการบดี ฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

เทศนาธรรมเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพทนายความ และ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ บรรยายเรื่อง มรรยาททนายความ

จากนั้นเมื่อเวลา 15.00 น.

ศาสตราจารย์พิเศษ อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ องคมนตรี ได้ให้เกียรติมอบประกาศนียบัตรพร้อมให้โอวาทแก่ผู้ผ่านการอบรมวิชาว่าความ โดยมีความตอนหนึ่งว่า

“ ผมขอชื่นชมกับความสำเร็จ ของผู้ผ่านการฝึกอบรมวิชาว่าความตามหลักสูตรของสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จ ท่านทั้งหลายนี้ควรจะได้ทราบให้แน่ชัดว่า ทุกคนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ที่ได้ฝึกฝนอบรมพร้อมเพื่อการทำงานแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะประกอบอาชีพการงานใด แต่ละคนจึงควรตั้งใจไว้ให้หนักแน่นมั่นคง และอุตสาหะพยายามให้เต็มกำลัง ที่จะใช้หลักวิชาการและสติปัญญาความสามารถให้บังเกิดประโยชน์สูงสุด และด้วยจิตสำนึกที่แน่วแน่ว่า การทำงานนั้น นอกจากจะกระทำ เพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้ว ยังจะต้องกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมด้วย ความตั้งใจพยายามทำได้ดังนี้ จะเป็นหนทางนำทุกท่านให้ก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานและสมหวังในชีวิต ทั้งจะเป็นผลเกื้อกูลให้ประเทศชาติดำรงอยู่ได้ด้วยความวัฒนาผาสุกตลอดสืบไป

ผมขอให้ท่านทั้งหลาย จงประกอบวิชาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในคุณธรรม และจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ขอให้ท่านทั้งหลายได้ร่วมมือกันปฏิบัติตนปฏิบัติงานให้เที่ยงตรง ถูกต้อง และสมบูรณ์ทุกประการ

สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้ทุกท่านจงประสบความสุขสวัสดีทุกเมื่อโดยทั่วกัน”

จากนั้น ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์และคณะกรรมการบริหารสภาทนายความ ได้กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ผ่านการอบรมวิชาว่าความจำนวน 1,596 คน

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากนายสงคราม สกุลพรามหมณ์ อุปนายกฝ่ายบริหาร

นายสมพร ดำพริก อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ดร.วิรัลพัชร เวธทาวริทธิ์ธร อุปนายกฝ่ายวิชาการ นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการ, นายไพบูลย์ แย้มเอม อุปนายกฝ่ายสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ นายชัยวัฒน์ บุญเกื้อ นายทะเบียน นายสฤษดิ์ เจียมกมล เหรัญญิก ดร.ชัยชีพ ชโลปถัมภ์ กรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย พร้อมด้วยกรรมการอำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความ แห่งสภาทนายความ และกรรมการทดสอบวิชาว่าความ พร้อมเจ้าหน้าที่สภาทนายความเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3120.เช่าโดยไม่มีการทำสัญญาเช่า

คำพิพากษาฎีกาที่ 1371/2566 (หน้า 1609 เล่ม 7) การทำฝ้าเพดานใหม่และเทพื้นปูกระเบื้องแกรนิตและก่อสร้างห้องน้ำ ค่าสูบอุจจาระและสิ่งปฏิกูล การติดตั้งเหล็กดัดอลูมิเนียม บานหน้าต่างกระจกบริเวณภายในร้านอาหาร การติดตั้งไฟฟ้าภายในและภายนอกร้านล้วนเป็นไปเพื่อความสวยงาม เพื่อความสะดวกแก่ผู้เข้าใช้บริการร้านอาหารของโจทก์ เป็นประโยชน์ในการประกอบกิจการร้านอาหารของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว ไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ทำให้อาคารพิพาทมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ส่วนโต๊ะและเก้าอี้สแตนเลสสำหรับบริการลูกค้าที่มาใช้บริการ มิได้เป็นสิ่งที่ติดตรึงไปกับอาคารพื้นที่เช่า ลักษณะการปรับปรุงพื้นที่และการต่อเติมของโจทก์เช่นนี้ ไม่ใช่สัญญาเช่าที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา เมื่อการเช่าที่ดินของโจทก์เป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 538 โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง

(หมายเหตุ 1 จำเลยประกอบธุรกิจให้เช่าที่ดิน ก่อนโจทก์เช่าที่ดินจากจำเลยเพื่อประกอบกิจการร้านอาหารได้มีการพูดคุยทางแอปพลิเคชั่นไลน์กับจำเลย โดยมิได้มีการทำสัญญาเช่า แล้วโจทก์เข้าปรับปรุงพื้นที่เช่า

2 ต่อมา เจ้าพนักงานมีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่ง

3 โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ ให้จำเลย ชำระเงิน 1,170,337 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง

4 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 474,737 บาทพร้อมดอกเบี้ย

5 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

6 โจทก์ฎีกาว่า มีอำนาจฟ้องเนื่องจากข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นข้อตกลงเช่าที่ดินที่มิได้ทำสัญญาเป็นหนังสือ หากแต่เป็นสัญญาเช่าที่ดินต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่า จึงไม่จำต้องมีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ

7 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามลักษณะการปรับปรุงพื้นที่ และการต่อเติมของโจทก์ไม่ใช่สัญญาเช่าที่เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา พิพากษายืน)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ และกรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3119.จำเลยลงลายมือชื่อแทนโจทก์ โดยโจทก์รับรู้ และ จ.ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าแท้จริงได้รับเงินค่าเช่าจากจำเลย จำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

คำพิพากษาฎีกาที่ 1298/2566 (หน้า 1577 เล่ม 7) จำเลยลงลายมือชื่อแทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอยู่ในความรับรู้ของโจทก์ และโจทก์มิใช่ผู้ให้เช่าที่แท้จริง แต่ จ.เป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าจากจำเลย แม้การกระทำของจำเลยเป็นการลงลายมือชื่อปลอม แต่ความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้อื่นหรือประชาชน เมื่อปรากฏว่ามีการเช่าและจำเลยพักอาศัยในบ้านเช่าจริง ค่าเช่าจึงเป็นสิทธิของ จ. ซึ่งตลอดระยะเวลาการเช่าไม่ปรากฏว่า จ.เคยโต้แย้งเรื่องจำเลยไม่ยอมชำระค่าเช่า เช่นนี้ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำเป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม

(นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ และกรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849)

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3118.ศาลชั้นต้นไม่แจ้งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ไม่เป็นการทิ้งฟ้อง

คำพิพากษาฎีกาที่ 1304/2566 (หน้า 1584 เล่ม 7) ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ล่วงหน้า และออกหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แจ้งนัดให้คู่ความทราบชอบแล้ว ซึ่งในหมายนัดมิได้กำหนดให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มเติม เมื่อถึงวันนัดคู่ความไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนภายใน 15 วันนับแต่วันนี้ และเลื่อนกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไป โดยให้ปิดประกาศแจ้งวันนัดให้คู่ความและผู้มีส่วนได้เสียทราบที่หน้าศาล และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิได้แจ้งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่ม เช่นนี้จะถือว่าผู้ร้องทราบถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มแล้วผู้ร้องเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 หาได้ไม่ พฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่า ผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดี ภายในเวลาตามที่ศาลกำหนดอันเป็นการทิ้งอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7

(หมายเหตุ 1 คดีนี้ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นโดยชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เป็นเงิน 200 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์

2 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นโดยจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ขาดไปเป็นจำนวนเงิน 19,800 บาท ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

3 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่มีคู่ความฝ่ายใดมาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องนำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มภายใน 15 วัน

4 เมื่อครบกำหนดเวลาผู้ร้องไม่เสียค่าขึ้นศาล ศาลชั้นต้นจึงรวบรวมถ้อยคำส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์

5 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งอุทธรณ์

6 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้การส่งหมายนัดสามารถส่งให้ทนายผู้ร้องโดยวิธีการรับหมายด้วยตนเอง กรณีจะถือว่าผู้ร้องทราบถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มหาได้ไม่ ศาลฎีกาจึงมีคำวินิจฉัยดังกล่าวข้างต้น โดยพิพากษายกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้จำหน่ายคดีของผู้ร้องออกจากสารบบความ และให้ศาลชั้นต้น แจ้งคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอุทธรณ์เพิ่มเติมทราบแล้วดำเนินการต่อไป)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ และกรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849