ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3624.สามีภริยาไม่จดทะเบียนสมรสจะแบ่งทรัพย์สินกันอย่างไร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4656/2567 โจทก์และจำเลยตกลงอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาด้วยใจสมัคร แม้จะไม่มีการสู่ขอ ไม่มีสินสอดทองหมั้น ไม่ได้จัดพิธีแต่งงานกันตามประเพณี และไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ไม่ก่อให้เกิดสิทธิหน้าที่ในทางทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันเป็นสินสมรสเช่นอย่างสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการอยู่ร่วมกันเช่นนี้มิใช่เป็นเหมือนหุ้นส่วนและไม่เข้าลักษณะของบทกฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนและบริษัท เนื่องเพราะมิใช่ข้อตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรตามความใน ป.พ.พ. มาตรา 1012 แต่ทรัพย์สินที่ทำมาหามาได้ร่วมกันระหว่างที่อยู่ด้วยกันฉันสามีภริยานั้นย่อมเป็นกรรมสิทธิ์รวมหรือเจ้าของรวมซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. บรรพ 4 ทรัพย์สิน ลักษณะ 2 หมวด 3 ว่าด้วยกรรมสิทธิ์รวม มาตรา 1357 ที่บัญญัติว่า ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมมีส่วนเท่ากัน

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ.มาตรา 1012, 1357)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

เปิดอบรมโครงการทนายความพี่เลี้ยง รุ่นที่ 27

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 4 สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ : ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการในโครงการทนายความพี่เลี้ยง รุ่นที่ 27 เรื่อง “การเพิ่มทักษะการว่าความให้ทนายความใหม่ การดำเนินคดี บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคล ศิลปะในการซักถาม ถามค้าน ถามติง การต่อสู้คดี การสอบข้อเท็จจริง และการจัดทำเอกสารต่างๆ” โดยมี ดร.วิรัลพัชร เวธทาวริทธิ์ธร อุปนายกฝ่ายวิชาการ เป็นผู้กล่าวรายงาน อาจารย์สยุม ไกรทัศน์ กรรมการฝ่ายวิชาการ เป็นผู้ดำเนินรายการ

นอกจากนี้ยังมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากคณะกรรมการฝ่ายวิชาการทนายความ และผู้มีความเชี่ยวชาญด้านคดีความอีกจำนวนมากมาช่วยอำนวยการอบรมในครั้งนี้

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3623.ครอบครองที่ดิน น.ส.3 ก. ที่ผู้เยาว์เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้ครอบครองไม่ได้สิทธิในที่ดินในส่วนของผู้เยาว์

คำพิพากษาฎีกาที่ 3751/2567 (เล่ม 9 หน้า 1930) ขณะเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส. 3 ก.) ให้แก่ ส. และจำเลยที่ 1 มีสิทธิครอบครองร่วมกันหรือเป็นเจ้าของรวม จำเลยที่ 1 มีอายุ 10 ปีเศษ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาตาม ป.พ.พ.มาตรา 1566 ในภาวะนั้นจำเลยที่ 1 ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าไปยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ใดๆในที่ดินพิพากได้ด้วยตนเอง ถือว่า ส.ทั้งในฐานะที่เป็นบิดาและเจ้าของรวมได้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยที่ 1 ไว้แทนจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์และเป็นเจ้าของรวมที่ดินพิพาท แม้ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 เสียไปซึ่งสิทธิครอบครอง ส่วน ส. ซึ่งเป็นบิดาผู้ใช้อำนาจปกครองในฐานะเจ้าของรวมหากประสงค์จะขายที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิจำหน่ายได้เฉพาะส่วนของตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง ไม่มีสิทธิจำหน่ายส่วนของจำเลยที่ 1 โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 ก่อน และการขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้เยาว์ ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำไม่ได้เว้นแต่ศาลจะอนุญาตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1574 การที่ ส.ขายและส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่ จ.ทั้งแปลง ส.และ จ. กระทำไปโดยที่ศาลมิได้อนุญาตให้ผู้ใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยที่ 1 จึงมีผลผูกพันและสมบูรณ์เฉพาะส่วนที่เป็นสิทธิครอบครองของ ส.เท่านั้น ไม่มีผลผูกพันในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ยินยอมด้วย

ขณะซื้อขายที่ดิน จ.ทราบดีว่า ที่ดินพิพาทมิใช่เป็นของ ส.เพียงคนเดียว หากแต่ยังมีจำเลยที่ 1 บุตรผู้เยาว์ของ ส. เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และจำเลยที่ 1 มิได้ยินยอมด้วยกับการซื้อขาย แต่ จ.ยินยอมรับซื้อที่ดินพิพาทไปจากเจ้าของรวม จ.จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ ส.เดิม แม้ ส.จะส่งมอบที่ดินพิพาททั้งแปลงให้ จ. และ จ.เข้ายึดถือครอบครองสืบต่อมา ก็ไม่ทำให้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยที่ 1 ต้องสิ้นสุดลง ต้องถือว่า จ. ในฐานะเจ้าของรวมยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นของจำเลยที่ 1 ไว้แทนจำเลยที่ 1 ในลักษณะเดียวกันกับที่ ส. เมื่อไม่ปรากฏว่า จ.ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 ว่า ไม่เจตนาจะยึดถือครอบครองแทนจำเลยที่ 1 ต่อไปโดยเฉพาะภายหลังจำเลยที่ 1 บรรลุนิติภาวะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จ.ย่อมไม่ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนจำเลยที่ 1 ทั้งหลังจาก จ. ให้ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ในปี 2550 โจทก์ก็ยังคงมิได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 อีกเช่นกัน จึงไม่มีกรณีที่จะเป็นการแย่งการครอบครองอันจะทำให้โจทก์ได้ซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ.มาตรา 1361, 1367, 1381, 1566, 1574)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

12 สภาวิชาชีพผนึกกำลังลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานสากลและมุ่งประโยชน์ประชาชน

เมื่อวันอังคารที่ 13 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารนครินทรศรี สภาการพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข สมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย 12 สภาวิชาชีพสำคัญของประเทศ ได้แก่ แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภาวิศวกร สภาสถาปนิก สัตวแพทยสภา สภาเทคนิคการแพทย์ สภากายภาพบำบัด สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ และสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งสำคัญ

พิธีลงนามในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายกสภาวิชาชีพของทั้ง 12 แห่ง อาทิ ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ รองศาสตราจารย์ ดร. ทพ.ไชยรัตน์ เฉลิมรัตนโรจน์ นายกทันตแพทยสภา รองศาสตราจารย์ ดร.พว.สุจิตรา เหลืองอมรเลิศ นายกสภาการพยาบาล ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช นายกสภาเภสัชกรรม ผู้แทนนายกสภาวิศวกร นายประภากร วทานยกุล นายกสภาสถาปนิก ทนพ.สมชัย เจิดเสริมอนันต์ นายกสภาเทคนิคการแพทย์ นายวินิจ ศิลามงคล นายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ รองศาสตราจารย์ น.สพ.ดร.ธีระ รักความสุข นายกสัตวแพทยสภา ศาสตราจารย์ ดร.กภ.ประวิตร เจนวรรธนะกุล นายกสภากายภาพบำบัด ศาสตราจารย์ สค.ร.ระพีพรรณ คำหอม นายกสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ผู้แทนนายกสภาวิศวกร และคณะจากสภาวิชาชีพอื่นๆ เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมกิจกรรมและความร่วมมือระหว่างสภาวิชาชีพทั้ง 12 แห่ง จะนำไปสู่ประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบวิชาชีพในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาเพื่อการประกอบวิชาชีพให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานความร่วมมือดังกล่าวยังครอบคลุมถึงการผดุงเกียรติ ศักดิ์ศรี คุณภาพ จริยธรรม และจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพ ตลอดจนเป็นผู้แทนของสภาวิชาชีพในการเจรจาและประสานความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการแนะนำ เผยแพร่ อบรม ส่งเสริมให้ความรู้ และสนับสนุนการศึกษาแก่ประชาชน

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3622.สร้างอาคารโรงเรือนตามแนวเขตเดิม เป็นการกระทำโดยสุจริตหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 977/2567 (เล่ม 9 หน้า 1875) จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองสร้างอาคารตามแนวเขตเดิมไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งสองสร้างอาคารในที่ดินตามความเข้าใจของจำเลยทั้งสองว่าเป็นที่ดินของตนมิได้เจตนารุกล้ำที่ดินของโจทก์ อันถือได้ว่าเป็นการอ้างว่ากระทำโดยสุจริตแล้ว ไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะต้องให้การว่า หากฟังว่าจำเลยทั้งสองสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองก็กระทำโดยสุจริตจึงไม่ต้องรื้อถอนเพราะได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1312 วรรคแรก อีก เพราะจะเป็นคำให้การที่มีเงื่อนไขไม่ชัดเจนไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง

ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทหรือกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยทั้งสองสร้างอาคารรุกล้ำที่ดิน ของโจทก์หรือไม่ ประเด็นข้อพิพาทในคดียังมีอยู่ตามคำฟ้องและคำให้การว่า จำเลยทั้งสองสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์และต้องรื้อถอนออกไปหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาถึงความสุจริตของจำเลยทั้งสอง แม้ฟังว่าจำเลยทั้งสองสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์ ปัญหาว่าจำเลยทั้งสองสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่ เป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ในคดีนี้ และเมื่อจำเลยทั้งสองสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต จำเลยทั้งสองก็ต้องรื้อถอนบ้าน ในส่วนที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์

(หมายเหตุ 1 ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2557 โจทก์ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ จำเลยได้รับหมายแจ้งแล้ว

2 วันที่ 26 ธันวาคม 2557 ช่างรังวัดได้ดำเนินการรังวัดสอบเขตที่ดินตามที่โจทก์ยื่นคำขอ จำเลยไม่ไปนำชี้แนวเขต

3 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 จำเลยยื่นคำคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ว่า ผู้ขอได้นำรังวัดรุกล้ำที่ดินของจำเลย จึงขอคัดค้านแนวเขตดังกล่าว

4 ปลายปี 2558 จำเลยสร้างบ้านใหม่ตามแนวเขตเดิม

5 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยทั้งสองสร้างบ้านตามแนวเขตบ้านหลังเดิม ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะหักล้างความไม่สุจริตของจำเลยทั้งสองได้)

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ.มาตรา 1312 ป.วิ.พ.มาตรา 142, 177)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3621.ทำใบรับฝากเงินปลอมเบิกถอนเงินจากบัญชีของผู้ฝากเงิน ธนาคารเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2567 เงินที่โจทก์นำมาฝากเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. อยู่ในความครอบครองของธนาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ท. ซึ่งธนาคารผู้รับฝากย่อมมีสิทธิในการบริหารจัดการเงินฝากจำนวนดังกล่าว ธนาคารผู้รับฝากคงมีหน้าที่เพียงต้องคืนเงินตามจำนวนที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกค้านำเข้าฝากไว้เท่านั้น ธนาคารผู้รับฝากไม่จำเป็นต้องคืนเงินเป็นจำนวนอันเดียวกับที่โจทก์ฝากไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 672 เงินจำนวนดังกล่าวที่จำเลยรับไปจึงเป็นเงินของธนาคาร ท. ผู้รับฝาก มิใช่เงินของโจทก์ การที่จำเลยทำใบถอนเงินที่ปลอมขึ้นมาเบิกถอนจากบัญชีเงินฝากของโจทก์แล้วเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเข้าบัญชีธนาคารของจำเลย ธนาคาร ท. ผู้รับฝากจึงเป็นผู้เสียหายโดยตรง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริงในความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)

(หมายเหตุ 1 คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม และฐานลักทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 334 และให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง

2 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 และยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยชำระเงิน

3 ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยข้างต้น โดยพิพากษายืน)

(หลักกฎหมาย ป.วิ.อ.มาตรา 2 (4))

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3620.ลงลายมือชื่อปลอมในสัญญากู้ แต่ยังไม่ได้รับเงินตามสัญญา เป็นปลอมเอกสารสิทธิ

คำพิพากษาฎีกาที่ 5612/2567 (เล่ม 9 หน้า 2056)โจทก์ร่วมรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 2 กรอกข้อความและลงลายมือชื่อโจทก์ร่วมปลอมในคำขอกู้ยืมเงิน /หนังสือกู้ยืมเงิน /หนังสือสัญญาค้ำประกันโครงการช่วยเหลือสมาชิกที่ประสบภาวะความเดือดร้อนด้านการเงิน พร้อมด้วยหนังสือยินยอมให้หักเงินปันผล -เฉลี่ยคืนหรือเงินอื่นใดที่พึงจะได้รับจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ก. จำกัด กับคำขอและหนังสือกู้เงินเพื่อเหตุฉุกเฉินและโจทก์ร่วมเป็นผู้รับเงินกู้ทั้งสองจำนวนไป เช่นนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ 2 โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้

แม้เอกสารการกู้ยืมเงินใช้ชื่อเอกสารทำนองว่าเป็นคำขอกู้ยืมเงินและเนื้อหาเข้าใจได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 จะต้องพิจารณาตามคำขอกู้เสียก่อนว่าจะอนุมัติให้กู้ยืมเงินหรือไม่ อันมีลักษณะเป็นคำเสนอก็ตาม แต่ชื่อเอกสารระบุว่าเป็นหนังสือกู้ยืมเงินกับหนังสือกู้เงินและเนื้อหาในเอกสารระบุว่า ผู้เสียหายที่ 2 ตกลงผูกพันเป็นผู้กู้และจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 ในฐานะผู้ให้กู้ แสดงว่าคู่สัญญาประสงค์ให้ใช้เอกสารฉบับเดียวกันเป็นทั้งคำขอกู้และสัญญากู้ยืมเงินในคราวเดียว เป็นหลักฐานแห่งการก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 โดยสภาพของเอกสารถือได้ว่าเป็นเอกสารสิทธิ ตาม ป.อ.มาตรา 1(9) แล้ว แม้ขณะจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อปลอมของผู้เสียหายที่ 2 ในคำขอกู้ยืมเงินและหนังสือกู้เงิน ผู้เสียหายที่ 1 ยังไม่ได้อนุมัติให้ผู้เสียหายที่ 2 กู้เงิน ก็ไม่ทำให้เอกสารการกู้ยืมเงินนั้นไม่เป็นเอกสารสิทธิ

แม้ในขณะจำเลยที่ 2 กรอกข้อความและลงลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ปลอม ยังไม่มีการนำเอกสารการกู้ยืมเงินไปแสดงต่อผู้เสียหายที่ 1 ก็ดี ผู้เสียหายที่ 2 มีเจตนากู้ยืมเงินจากผู้เสียหายที่ 1 ก็ดี จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำก็ดี แต่พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 2 น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายที่ 1 ครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ตาม ป.อ.มาตรา 264 วรรคแรก(เดิม), 265 (เดิม) แล้ว

(หลักกฎหมาย ป.อ.มาตรา 1(9), 264, 265 ป.วิ.อ.มาตรา 2(4), 30)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3619.ไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้กู้ จะฟ้องผู้ค้ำประกันในฐานะผู้จำนองไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226/2567 โจทก์มิได้ฟ้องบริษัท อ. ลูกหนี้ผู้กู้ยืมเงินเป็นจำเลย และแม้โจทก์จะฟ้อง ช. เป็นจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ก็ฟ้องในฐานะที่ ช. เป็นทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้ค้ำประกันและผู้จำนองอีกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ฟ้อง ช. เป็นจำเลยในฐานะผู้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 เมื่อผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 735 ผู้รับจำนองต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนด้วยตามเงื่อนไขใน ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์มิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท อ. ลูกหนี้ก่อนด้วยว่าให้ชำระหนี้ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 82147 ได้

(หมายเหตุ 1 ป.พ.พ. ลักษณะ 12 หมวด 4 การบังคับจำนองมีบทบัญญัติในมาตรา 728 ถึง 735 ซึ่งมาตรา 728 ที่แก้ไขใหม่ ที่ใช้บังคับกับการจำนองในคดีนี้ วรรคหนึ่งบัญญัติเงื่อนไขและขั้นตอนก่อนการฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดไว้ว่า ผู้รับจำนองต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับคำบอกกล่าวนั้น และในกรณีเป็นการจำนองเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นต้องชำระ ป.พ.พ. มาตรา 728 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้รับจำนองต้องส่งหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวในวรรคหนึ่งให้ผู้จำนองทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ส่งหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ แต่การไม่ส่งหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้จำนองภายในกำหนดเวลาตามวรรคสองนี้ส่งผลเพียงทำให้ผู้จำนองหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาสิบห้าวัน ไม่ได้ส่งผลถึงขนาดทำให้ผู้จำนองหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาจำนอง หรือผู้รับจำนองไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองต่อลูกหนี้และหรือผู้จำนอง แสดงว่ากฎหมายมุ่งกำหนดเป็นเงื่อนไขที่ผู้รับจำนองต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้เป็นสำคัญ)

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 728, 735, 738)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

นายกสภาทนายความ ประณามและเร่งให้ตำรวจจับกุมผู้ข่มขู่คุกคามทนายความจากการทำหน้าที่   

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ดร. วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ได้รับแจ้งจากนายพิเชฐ คูหาทอง กรรมการบริหารสภาทนายความภาค 4 และว่าที่พันตรี ณรงค์ ดาหาร ประธานสภาทนายความจังหวัดมุกดาหาร ว่าเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ได้มีบุคคลทำการส่งกระสุนปืน ทางไปรษณีย์ จำนวน 1 นัด ไปให้นายธนบูรณ์ กุมภิโร ทนายความที่มีสำนักงานอยู่ในจังหวัดมุกดาหาร จากการสอบถามเบื้องต้นได้ความว่าน่าจะเป็นการคุกคามซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่นายธนบูรณ์ กุมภิโร ได้เข้าไปเป็นทนายความในคดีสำคัญที่ศาลแห่งหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเคยมีบุคคลแอบอ้างว่าเป็นคนในเครื่องแบบ ได้โทรศัพท์มาถึงทนายคนดังกล่าวในลักษณะเป็นการบอกให้ระวังตัว จึงถือได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการข่มขู่ทนายความในการปฎิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งไม่สมควรเกิดขึ้นกับวิชาชีพของทนายความในการที่เข้าไปอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน

ดร. วิเชียรชุบไธสง นายกสภาทนายความ ได้กล่าวประณามการข่มขู่ คุกคาม ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

ตลอดจนเจ้าหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดในการสืบสวนสอบสวนเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว

นายกสภาทนายความ อวยพรให้ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ทุกท่านที่ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น ผ่านการเลือกตั้งในครั้งนี้

ในวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2568 จะมีการเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ขอให้ผู้ประกอบวิชาชีพทนายความที่ลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับเลือกตั้งทุกท่าน เพื่อเข้าไปพัฒนาบ้านเมืองระดับท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าและไปอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน