สภาทนายความจัดวิชาการสัญจรพื้นที่สภาทนายความภาค.5 (จังหวัดแพร่ )

📣 ประกาศสถาบันพัฒนาวิชาชีพทนายความ สภาทนายความ 📣

 

⚖️ด้วย สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สภาทนายความภาค 5 สภาทนายความจังหวัดแพร่ และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ⚖️

 

【 ฟรี 】🚩

🌟 เปิดอบรมวิชาการสัญจร จังหวัดแพร่

👨‍⚖️ เพื่อทนายความและเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชน

 

🔻เรื่อง🔻

👉 การดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ (ภาคปฏิบัติ)

👉 การดำเนินคดีปกครอง

👉 ตอบข้อซักถามของประชาชน

 

📆 วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2567

⏱ เวลา 08.30 -12.00 น.

📍 ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่

 

—- เชิญพบกับ—-

 

🔶 ดร.วิเชียร ชุบไธสง

นายกสภาทนายความ

 

🔶 นายพรศักดิ์ สังข์สังวาลย์

กรรมการบริหารสภาทนายความภาค 5

 

🔶 นายอุเทน สุขทั่วญาติ

ประธานสภาทนายความจังหวัดแพร่

 

👉ติดต่อสอบถาม คุณพิมพ์ฉวี คุณจิดาภา ☎️ 06 4291 4640

🌏 Link ลงทะเบียน : https://forms.gle/yzRxYWdGRdSBLEBt5

 

⚖___________ ⚖

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3296.เงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ เงินจำนวนดังกล่าวยังเป็นของผู้อุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3068/2566 เงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ต้องวางต่อศาลพร้อมอุทธรณ์นั้นเป็นการปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ มาตรา 7 แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และมูลความแห่งคดีนี้เป็นการชําระหนี้อันแบ่งแยกมิได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมคนหนึ่งได้นําเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลครบถ้วนแล้ว จึงมีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์ในการยื่นอุทธรณ์อีกเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำซ้อนเท่านั้น หาใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 วางเงินแทนจำเลยที่ 1 ไม่ และเงินค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเพียงเงินที่วางไว้เพื่อเป็นประกันว่า หากในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้อุทธรณ์ต้องรับผิดชําระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความที่ชนะคดีแล้ว ผู้ชนะคดีจะมีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้ออกใช้ก่อนจากเงินที่ผู้อุทธรณ์วางไว้ หาใช่เป็นการวางเพื่อชําระหนี้แก่คู่ความฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นไม่ จึงต้องถือว่าเงินดังกล่าวยังเป็นของผู้อุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 ชนะคดี และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยที่ 2 ก็ชอบที่จะร้องขอให้คืนเงินที่วางนั้นได้

(หมายเหตุ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยที่ 2 อุทธรณ์และวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ เป็นการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจำเลยที่ 1 ที่ได้ยื่นอุทธรณ์ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจขอรับคืนได้ ให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน

2 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวเป็นเพียงเงินที่วางไว้เพื่อเป็นประกันว่า หากในที่สุดศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้อุทธรณ์ต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความที่ชนะคดีแล้วผู้ชนะคดีจะมีสิทธิได้รับค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้ออกใช้ก่อนจากเงินที่ผู้อุทธรณ์วางไว้ หาใช่เป็นการวางเพื่อชำระหนี้แก่คู่ความฝ่ายชนะคดีในศาลชั้นต้นไม่ จึงต้องถือว่าเงินดังกล่าวยังเป็นของผู้อุทธรณ์)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3295.ไม่เสียค่าขึ้นศาลภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลมีคำสั่ง ศาลจะต้องมีคำสั่งอย่างไร

คำพิพากษาศาลฏีกาที่ 1592/2566 (เล่ม 6 หน้า 23) โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 250,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์จึงเป็นคำฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 150 ซึ่งวิธีการคำนวณทุนทรัพย์ ป. วิ.พ.มาตรา 190(1) บัญญัติไว้ว่า ให้คำนวณตามคำเรียกร้องของโจทก์ คดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 250,000 บาท บวกด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่โจทก์วางเงินต่อจำเลยถึงวันฟ้อง ซึ่งเมื่อคำนวณรวมกันแล้วจะเป็นทุนทรัพย์จำนวน 468,750 บาท คดีนี้ จึงไม่ใช่คดีมโนสาเร่ที่จะดำเนินคดีอย่างคดีมโนสาเร่ตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 2 วิธีพิจารณาวิสามัญในศาลชั้นต้น หมวด 1 วิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 189(1) แต่เป็นคดีแพ่งสามัญ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2 ของทุนทรัพย์ แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ภายใน 7 วัน แล้วโจทก์ไม่ชำระภายในกำหนดดังกล่าว ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นให้จำหน่ายคดีโจทก์โดยถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ซึ่งมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

โจทก์ยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดี โดยมิได้ยื่นพร้อมกับคำฟ้องตามที่ ป.วิ.พ.มาตรา 156 บัญญัติไว้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย

(หมายเหตุ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ภายใน 7 วัน แล้วโจทก์ไม่ชำระภายในกำหนดดังกล่าว ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3294.นำแบบพิมพ์ของทางราชการมากรอกข้อความ เป็นการปลอมเอกสารราชการหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2566 (เล่ม 6 หน้า 34) จำเลยนำแบบพิมพ์แจ้งการจ้างคนต่างด้าวซึ่งเป็นแบบพิมพ์ของทางราชการมากรอกข้อความขึ้นเองและลงลายมือชื่อปลอมของผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 4 เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่เอกชนทำขึ้นเพื่อยื่นต่อทางราชการ เจ้าพนักงานมิได้เป็นผู้ทำเอกสารและมิใช่เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่จึงไม่ใช่เอกสารราชการ จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารธรรมดาและใช้เอกสารปลอม ตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก เท่านั้น

( หมายเหตุ 1 ป.อ. มาตรา 1(8) คำนิยาม “เอกสารราชการ” หมายความว่า เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้น หรือรับรองในหน้าที่ และให้หมายความรวมถึงสำเนาเอกสารนั้นๆ ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ด้วย

2 ข้อเท็จจริง จำเลยนำแบบพิมพ์แจ้งการจ้างคนต่างด้าวมากรอกข้อความว่า โดยปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 4 ในช่องนายจ้าง แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด เพื่อขออนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 4 จ้างคนต่างด้าวทำงาน

3 ข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ปรากฏว่า ในขณะที่จำเลยกรอกข้อความลงในเอกสารดังกล่าว เจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานได้ลงนามเป็นผู้รับแจ้งการยื่นแบบแจ้งการจ้างคนต่างด้าวไว้ก่อนแล้ว

4 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันต่างกรรมต่างวาระถึง 5 ครั้ง แสดงว่า จำเลยไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง และไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดแก่ทางราชการและส่วนรวม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว หรือมีเหตุอื่นดังที่อ้างมาในฎีกา ก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

สภาทนายความ จัดวิชาการสัญจรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

 

วิชาการสัญจรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00 – 17.00 น. ที่ โรงแรมหาดทอง อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ : ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ เป็นประธานเปิดการอบรมวิชาการสัญจร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรื่อง “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 และเทคนิคการดำเนินคดีทางระบบ e-Filing และ CIOS ของศาลยุติธรรม

โดยมี นายเจริญ สดศรี ประธานสภาทนายความจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวต้อนรับ นายอรรถพร อัมพวา กรรมการบริหารสภาทนายความภาค 7 กล่าวรายงาน ยังได้รับเกียรติจาก นายคุณวุฒิ ออสุวรรณ ประธานสภาทนายความจังหวัดหัวหิน นายชัยยศ ชูประเสริฐ ประธานสภาทนายความจังหวัดทองผาภูมิ นายสุวรรณ ทองกรอย อดีตประธานสภาทนายความจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นางอุไร ชูประเสริฐ อดีตประธานสภาทนายความจังหวัดทองผาภูมิ

 นอกจากนี้ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ นายวีรศักดิ์ โชติวานิช อุปนายกฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศ/รองเลขาธิการ นายอรรถพร อัมพวา กรรมการบริหารสภาทนายความภาค 7 ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยาย หัวข้อ “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 และ นางสาวสรารัตน์ อุณหพิพัฒน์ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครปฐม ได้บรรยายเรื่องเทคนิคการดำเนินคดีทางระบบ e-Filing และ CIOS ของศาลยุติธรรม” ซึ่งมีทนายความจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และทนายความภาค 7 ลงทะเบียนเข้าร่วมอบรมในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3293.เรียกเงินจากพนักงานจ้างตามภารกิจในการต่อสัญญาจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2566 การร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานเรียกทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบและการเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเรียกทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบซึ่งได้กระทำในคราวเดียวกัน จะเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน มิใช่พิจารณาแต่เพียงถ้าเป็นการกระทำครั้งเดียวคราวเดียวแล้วจะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไป การกระทำครั้งเดียวคราวเดียวอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนาหลายเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยทั้งสี่เรียกเงินและสนับสนุนการเรียกเงินเป็นค่าตอบแทนในการพิจารณาต่อสัญญาจ้างจาก พ. น. อ. และ ว. ซึ่งเป็นพนักงานจ้างตามภารกิจและพนักงานจ้างทั่วไป กับ ม. และ ช. ซึ่งเป็นผู้รับจ้าง แตกต่างกันทั้งจำนวนเงินและระยะเวลา ประกอบกับหากบุคคลทั้งหกคนใดคนหนึ่งให้เงินหรือไม่ให้เงินแก่จำเลยทั้งสี่ จำเลยที่ 1 ก็ต่อสัญญาจ้างหรือไม่ต่อสัญญาจ้างให้แก่บุคคลทั้งหกเป็นรายบุคคลไป แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยทั้งสี่ที่ประสงค์จะให้เกิดผลของการกระทำความผิดต่อบุคคลทั้งหกแยกออกจากกันโดยชัดแจ้ง การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

(หมายเหตุ 1 ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล จำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งรองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล

2 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 149 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 5 ปี และปรับคนละ 39,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละ 2 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 19,500 บาท และจำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 149 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 จำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 26,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 8 เดือน และปรับ 13,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยทั้งสี่ได้กลับตัวเป็นคนดีสักครั้ง โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมประพฤติของจำเลยทั้งสี่ไว้ 1 ปี

3 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน รวม 6 กระทง ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 12 ปี 36 เดือน การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน รวม 6 กระทง ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 48 เดือน การกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน รวม 6 กระทง ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 7 ปี 46 เดือน

4 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าพนักงาน แต่กลับมากระทำผิดเรียกเงินหรือสนับสนุนเรียกเงินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อต่อสัญญาจ้างหรือไม่ต่อสัญญาจ้างแก่พนักงานตามภารกิจ พนักงานจ้างทั่วไป หรือผู้รับจ้าง ซึ่งพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่เป็นภัยต่อสังคม อันเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แม้จำเลยทั้งสี่รู้สำนึกในการกระทำความผิดโดยให้การรับสารภาพก็ตาม แต่จำเลยทั้งสี่ต้องคิดใคร่ครวญก่อนกระทำความผิด มิใช่เมื่อกระทำความผิดแล้วจึงมาอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อขอให้ศาลรอการลงโทษ และเหตุที่จำเลยทั้งสี่ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน กระทำคุณความดีต่อสังคมและในการปฏิบัติงานราชการ หรือมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวตามที่อ้างในฎีกาจำเลยทั้งสี่ ก็ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสี่

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

นายกสภาฯ มอบหมายให้ ประธานสภาทนายความธนบุรี ร่วมประชุมโครงการส่งเสริมการประสานความร่วมมือด้านการยุติธรรมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ในเขตอำนาจของศาลแขวงธนบุรี

เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน 2567 ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ได้มอบหมายให้ นายชิษณุพงศ์ ปูลา ประธานสภาทนายความธนบุรี เข้าร่วมประชุมโครงการส่งเสริมการประสานความร่วมมือด้านการยุติธรรมของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ในเขตอำนาจของศาลแขวงธนบุรี

โดยมี นางจันทร์กระพ้อ ต่อสุวรรณ สินธวถาวร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดลพบุรีช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงธนบุรี เป็นประธานในการประชุม ณ ห้องแม่น้ำห้องโฟร์ ริเวอร์ส ชั้น 1 โรงแรมแม่น้ำ รามาดาพลาซา ถนนเจริญกรุง กรุงเทพมหานคร

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3292.ผู้สนับสนุนการกระทำผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173/2566 การที่จำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำบัญชีเงินฝากของตนไปใช้รับโอนเงินลงทุนที่จำเลยที่ 1 หลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบสาม ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดดังกล่าวตาม ป.อ. มาตรา 86 และต้องร่วมรับผิดในส่วนแพ่งกับจำเลยที่ 1 ด้วย

(หมายเหตุ 1 จำเลยที่ 1 เป็นภริยาจำเลยที่ 2 และยังคงอยู่กินกันมาโดยตลอด ไม่ปรากฏว่ามีปัญหาครอบครัวแต่อย่างใด

2 จำเลยที่ 1 จัดตั้งกลุ่มขึ้นในชื่อ บ้านกำไรงาม เครื่องสปาหน้า สปาตัว ลงข้อความในบัญชีเฟซบุ๊กเกี่ยวกับผลกำไรที่เกิดจากการลงทุนซื้อเครื่องนวดสปา และแจ้งว่าหากลงทุนเป็นเคส เคสละ 30,000 บาท ภายในกำหนด 7 วัน จะได้รับเงินลงทุนคืนพร้อมผลกำไร 3,500 บาท ถึง 5,000 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราร้อยละ 608.455 ถึง 868.70 ต่อปี สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้

3 นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้แสดงภาพและข้อความให้ผู้เสียหายทั้งสิบสามและประชาชนทั่วไปทางเฟซบุ๊กให้ทราบว่าจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์เป็นสามีภริยากันและอยู่ร่วมกัน

4 ผู้เสียหายทั้งสิบสามมีความสนใจจึงเข้าร่วมกลุ่มในบัญชีเฟซบุ๊กซึ่งจำเลยที่ 1 หลังจากนั้นผู้เสียหายทั้งสิบสามโอนเงินลงทุนให้จำเลยที่ 1 ในแต่ละครั้งโดยผ่านเข้าบัญชีธนาคาร ท. ของจำเลยที่ 2 จากนั้นมีการโอนเงินจากบัญชีของจำเลยที่ 2 เข้าบัญชีของนางชนัญญรัตน์ นางสาวณัฎฐนิช บุตรของจำเลยที่ 1 และนางชลธิชา เลขานุการของจำเลยที่ 1

5 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 343 วรรคหนึ่ง พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) (ที่ถูก 14 วรรคหนึ่ง (1)) จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 65 ปี แต่ความผิดที่จำเลยที่ 1 กระทำมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วจึงลงโทษได้เพียง 20 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 91 (2) ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินต้นที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ

6 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 343 วรรคหนึ่ง พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, 12 ประกอบ ป.อ. มาตรา 86 ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ลดโทษให้จำเลยทั้งสองคนละหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 39 ปี 52 เดือน แต่ลงโทษจำเลยที่ 1 ได้เพียง 20 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 91 (2) จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 2 เดือน 20 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

7 ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยข้างต้น)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

  • ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3291.ขอทำนิติกรรมแทนผู้ไร้ความสามารถ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4017/2566 ที่ผู้ร้องอ้างว่าจะต้องใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 เพื่อจัดการทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถนั้นที่จะยื่นคำร้องขอได้ เมื่อปรากฏว่าในขณะผู้ร้องยื่นคำร้องขอ ศาลยังไม่มีคำสั่งว่า ม. เป็นคนไร้ความสามารถ และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลของ ม. ผู้ร้องซึ่งยังไม่อยู่ในฐานะผู้อนุบาล จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทน ม. ได้

(หมายเหตุ 1 คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งว่า ม. เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง และมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทน ม.ด้วย

2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ม. เป็นคนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน

3 ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยข้างต้น โดยพิพากษายืน)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการส่งเสริมการประสานงานในกระบวนยุติธรรม ร

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2567 เวลา 8.30-16.00 นาฬิกา ที่ศาลแขวงบางบอน นายชิษณุพงศ์ ปูลา ประธานสภาทนายความธนบุรี ได้รับมอบหมายจาก ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ พร้อมด้วยคณะกรรมการสภาทนายความธนบุรี ได้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการส่งเสริมการประสานงานในกระบวนยุติธรรม รวมถึงการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีในการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคารศาลแขวงบางบอน

 

โดยได้รับเกียรติจากนางสุวิพันธ์ สุระประเสริฐ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงสระบุรี ช่วยงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงบางบอน ให้การต้อนรับ