ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3642.เจ้าบ้านไม่ยอมส่งต้นฉบับสําเนาทะเบียนบ้านแก่เจ้าของบ้าน ไม่เป็นความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2148/2567 (เล่ม 5 หน้า 45) คำว่า “เอาไปเสีย” ตามมาตรา 188 มิได้มีความหมายเป็นอย่างเดียวกับคำว่า “เอาไป” ที่ใช้ในความผิดข้อหาลักทรัพย์ตามมาตรา 334 แต่หมายถึงการเอาไปจากที่เอกสารนั้นเคยอยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนที่อาจต้องขาดเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐาน การกระทำที่จะเป็นความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น จึงต้องเป็นการเอาเอกสารของผู้อื่นไปโดยพลการมิใช่ครอบครองเอกสารนั้นไว้โดยความยินยอมของผู้อื่น

ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ครอบครองและเก็บรักษาต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านไว้ แม้ต่อมาผู้เสียหายไม่ประสงค์ให้จำเลยครอบครองเอกสารดังกล่าวไว้แทน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านตามฟ้องคืนให้แก่ผู้เสียหาย แต่จำเลยไม่ยอมส่งมอบคืนอันเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้เสียหาย ก็เป็นเรื่องที่จำเลย จะต้องรับผิดไปทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการซ่อนเร้น หรือเอาไปเสีย ซึ่งเอกสารของผู้อื่น

(หมายเหตุ 1 ตาม พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 39 กำหนดให้จำเลยในฐานะเจ้าบ้านมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องเก็บรักษาต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้าน

2 ข้อเท็จจริงผู้เสียหายและจำเลยเคยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ผู้เสียหายซื้อที่ดิน โดยมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าบ้านและเป็นผู้เก็บรักษาต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านไว้ ต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยคืนสำเนาทะเบียนบ้าน แต่จำเลยไม่คืน

3 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 188 จำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

4 โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยไม่คืนต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านตามฟ้องให้แก่ผู้เสียหาย ย่อมทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับบ้านซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการซ้อนเร้น หรือเอาไปเสีย ซึ่งต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้าน อันเป็นองค์ประกอบความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น

5 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 188 เป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม กฎหมายมิได้มุ่งถึงกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในการเป็นเจ้าของกระดาษหรือวัตถุที่ทำให้ปรากฏความหมายเป็นเอกสารซึ่งบทบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับทรัพย์บัญญัติไว้เป็นการทั่วไปอยู่แล้ว

6 และมีคำวินิจฉัยข้างต้น โดยพิพากษายืน)

(หลักกฎหมาย ป.อ.มาตรา 188)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3640.จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อของผู้เสียหายไปจำนำ แล้วเอาเงินที่จำนำไป เป็นความผิดฐานยักยอก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427/2567 (เล่ม 5 หน้า 53) ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติให้ฟ้องโจทก์ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ดังนั้น หากฟ้องโจทก์แตกต่างจากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอก ของความผิดในส่วนที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครองย่อมถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏไปทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดต่อรถยนต์ตามที่โจทก์ฟ้อง หากแต่จำเลยกระทำต่อเงินที่จำเลยได้รับจากการจำนำรถยนต์ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องและไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย ในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกไม่ได้

(หมายเหตุ 1 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 341 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน จำนวน 1,100,000 บาทแก่ผู้เสียหาย

2 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยนำเงิน 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์ไปนั้น เป็นการยักยอกเงิน 66,000 บาท ของผู้เสียหาย และพิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์

3 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

4 ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยข้างต้น โดยพิพากษายืน)

(หลักกฎหมาย ป.วิ.อ.มาตรา 158(5) , 192 วรรคสาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3639.ผู้จัดการมรดกตาย ทายาทของผู้จัดการมรดกจะเข้าเป็นคู่ความแทนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4043/2567 (เล่ม 5 หน้า 136) การขอตั้งผู้จัดการมรดกตลอดจนการคัดค้านการขอตั้งผู้จัดการมรดกเป็นเรื่องเฉพาะตัวของทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในแต่ละคน ทายาทของผู้ร้องที่ 1 ไม่อาจเข้ามาเป็นคู่ความแทนได้ และเมื่อผู้ร้องที่ 1 ถึงแก่ความตาย จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของผู้ร้องที่ 1 ต่อไป จึงให้จำหน่ายคดี ของผู้ร้องที่ 1 เสียจากสารบบความของศาลฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 132 (3) คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้ร้องที่ 1

(หลักกฎหมาย ป.วิ.พ. มาตรา 42 , 132(3))

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3638.อายุความหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีอายุความ 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2567 (เล่ม 5หน้า 57) สินเชื่อส่วนบุคคลที่จำเลยค้างชำระตามหนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ระบุยอดหนี้ที่จำเลยต้องชำระ 46,797 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และผ่อนชำระเป็นงวดรายเดือนขั้นต่ำ 1,300 บาท ทุกวันที่ 2 ของเดือน โดยกำหนดให้จำเลยชำระเพียงจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องชำระ แม้จะนำไปหักชำระเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยบางส่วนก็ตาม แต่หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้และภายในเวลาที่กำหนดจำเลยจะต้องชำระค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ อันเป็นข้อตกลงว่าจำเลยอาจชำระหนี้ในอัตราขั้นสูงเพียงใดก็ได้ และมิได้มีข้อตกลง กำหนดให้จำเลยต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นเวลากี่งวด หนังสือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวไม่มีลักษณะผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ จึงมิใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกำหนดอายุความห้าปีตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/33(2) แต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์เช่นนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้ จึงมีอายุความสิบปี ตามมาตรา 193/30

(หมายเหตุ 1 ข้อตกลงในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ กำหนดให้จำเลยต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นงวดๆ โดยไม่ได้กำหนดให้จำเลยผ่อนชำระทุนคืนเป็นเวลากี่งวด จึงไม่ใช่สิทธิเรียกร้องที่มีกำหนอายุความ 5 ปี)

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ.มาตรา 193/30 , 193/33)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2568

 

สวมหมวกกันน็อคชิงทรัพย์เป็นเหตุฉกรรจ์

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (5) มาตรา 339 มาตรา 340 ตรี

ในการชิงทรัพย์จําเลยสวมหมวกนิรภัย ทั้งเมื่อพิจารณาภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดก่อนเกิดเหตุ ปรากฏว่าจําเลยขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพัก โดยจําเลยมิได้สวมหมวกนิรภัย แต่ช่วงเวลาที่จําเลยก่อเหตุ ชิงทรัพย์คดีนี้แล้วหลบหนีไป จําเลยสวมหมวกนิรภัย หากจําเลยมีเจตนาที่จะป้องกันภยันตรายจากอุบัติเหตุ อันเกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัย อันเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โดยเคร่งครัด ไม่มีเจตนาที่จะปิดบังอําพรางใบหน้าในการกระทําความผิดแล้ว จําเลยย่อมต้องสวมหมวกนิรภัยมาตั้งแต่ขณะ ขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้านพัก การที่จําเลยเพิ่งสวมหมวกนิรภัยก่อนเกิดเหตุเพียงเล็กน้อย ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ว่า จำเลยมีเจตนาสวมหมวกนิรภัยเพื่อปิดบังใบหน้าอันเป็นการทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำใบหน้าได้ ในขณะก่อเหตุชิงทรัพย์ หาใช่เป็นการสวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์บนท้องถนน อันเป็นการ ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกตามที่จําเลยฎีกาไม่ เมื่อขณะก่อเหตุชิงทรัพย์ จําเลยปิดบังใบหน้าด้วยหมวกนิรภัย อันเป็นการทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจําหน้าได้ และโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทําผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม จึงเป็นการชิงทรัพย์ที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 335 (5) วรรคหนึ่ง จําเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์โดยทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจําหน้าได้และโดยใช้ ยานพาหนะเพื่อกระทําผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี

⚖️ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ⚖️  เปิดอบรม【 ฟรี 】🚩

🌟 โครงการปฏิรูปทนายความอาสาฯ ประจำปี พ.ศ. 2568

📌 จังหวัดนครราชสีมา

 

— เชิญพบกับ —

🔶 ดร.วิเชียร ชุบไธสง

นายกสภาทนายความ

 

🔶 นายวีรศักดิ์ โชติวานิช

อุปนายกฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศ / รองเลขาธิการ สภาทนายความ

 

🔶 นายสัญญาภัชระ สามารถ

อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ สภาทนายความ

 

🔶 นายไพบูลย์ แย้มเอม

อุปนายกฝ่ายสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ สภาทนายความ

 

🔶 นายวีระศักดิ์ บุญเพลิง

กรรมการบริหารสภาทนายความ ภาค 3

 

🔶 นายพรเทพ เจริญพงศ์อนันต์

ประธานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา

 

🌟 คุณสมบัติของผู้สมัครเข้ารับการอบรม 🌟

1. ประกอบวิชาชีพทนายความตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528

2. ไม่เคยต้องคำสั่งให้ลงโทษถึงที่สุด ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528

3. เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์และมีบุคลิกภาพดี

4. มีความรับผิดชอบและอุทิศตนเพื่อสังคม

 

— วันที่อบรม —

📚 วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568

⏰ เวลา 07.45 – 16.30 น.

📍 ณ โรงแรมฟอร์จูน โคราช อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา

–––

📝 สมัครผ่านระบบ Google Forms

🌎 Link ลงทะเบียน : https://forms.gle/vN652eAhXiB79nFM8

🔴 รับสมัครวันนี้ ถึงวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568 ( รับจำนวน 200 คน )

✅ ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์อบรม วันพุธที่ 4 มิถุนายน 2568

–––

☎️สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : สำนักงานคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

โทร. 0 2522 7124-27, 0 2522 7143-47 ต่อ 131, 133, 134

อีเมล์ : legalaid.lct@gmail.com

☎ ติดต่อสอบถาม คุณวารินทร์ โทร. 08 3096 5214

⚖_________________⚖

สร้างงาน เสริมรายได้ให้ทนายความ

📍สภาทนายความโดย ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ จับมือกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม โดยนางพงษ์สวาท กายอรุณสิทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลงนาม MOU ซึ่งได้รับเกียรติจากพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายตรัยฤทธิ์ เตมหิทวงศ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและ ดร.วิรัลพัชร เวทธาวริทธ์ธร อุปนายกฝ่ายวิชาการ เป็นสักขีพยาน เพื่อให้สภาทนายความจัดหาทนายความอาสาคำปรึกษา เผยแพร่ความรู้และว่าต่างแก้ต่างทางคดีที่จำเป็น โดยมีค่าตอบแทนสูง

#แสวงหาทุกช่องทางให้ทนายความมีรายได้คือหน้าที่

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3637.ฆ่าโดยการทรมาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6190/2567 (เล่ม 5 หน้า 182) การกระทำของจำเลยมีการคิดตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือไม่ ย่อมต้องอาศัยมูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิดของจำเลย โดยพิเคราะห์จากพฤติการณ์แห่งคดีและพยานแวดล้อมทั้งก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุประกอบกัน ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยพกพาอาวุธมีดมายังที่เกิดเหตุด้วย ยังไม่อาจรับฟังอย่างแน่ชัดว่า จำเลยมีการคิดหรือตระเตรียมการวางแผนที่จะฆ่าผู้ตายมาก่อน นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานอย่างอื่นที่แสดงให้เห็นว่า ระหว่างจำเลยและผู้ตายมีข้อขัดแย้งอื่นๆ ที่มีความรุนแรงถึงขนาดที่จะทำให้จำเลยต้องคิดวางแผนฆ่าผู้ตาย การที่จำเลยใช้อาวุธมีดพกติดตัวอยู่เป็นประจำแทงทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตายเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยกระทันหันโดยไม่ได้มีการคิดไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 298(4)

การที่จำเลยใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้ตายเป็นการกระทำโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289(5) หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

การกระทำโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย ป.อ.มิได้บัญญัติหรือให้นิยามถึงการกระทำดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ การวินิจฉัยถึงการกระทำดังกล่าวจึงต้องวินิจฉัยตามมาตรฐานความรู้สึกของวิญญูชนทั่วไป ซึ่งการฆ่าโดยทรมานหมายถึงการฆ่าโดยกระทำที่มิได้ทำให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายในทันที แต่ทำให้ได้รับความลำบากจนตายลงในที่สุด ส่วนการฆ่าโดยกระทำทารุณโหดร้ายหมายถึงการฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่วๆไป ผู้ถูกฆ่าอาจตายในทันทีโดยไม่ได้รับความลำบากเลยก็ได้ การที่จำเลยใช้อาวุธมีดเดือยไก่ซึ่งมีลักษณะปลายแหลมเรียวโค้ง ความยาวประมาณ 1 คืบ กว้างประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ ส่วนด้ามความยาว 3 นิ้ว ซึ่งถือเป็นอาวุธมีดที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แทงไปตามอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างผู้ตาย เป็นการฆ่าโดยใช้อาวุธตามปกติธรรมดาไม่ถือเป็นการฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่วๆไป และขณะจำเลยใช้อาวุธมีดแทง ผู้ตายย่อมต้องปัดป้องต่อสู้ จำเลยจึงแทงผู้ตายหลายครั้ง เพื่อให้การกระทำบรรลุผลไม่ใช่เจตนาให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดและทรมานจากบาดแผล การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288 เท่านั้น

(หมายเหตุ 1 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อบ่งชี้ที่จะวินิจฉัยว่า การกระทำที่ถือว่ามีการคิดตระเตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือไม่ ย่อมต้องอาศัยมูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิดของจำเลย โดยพิเคราะห์จากพฤติการณ์แห่งคดีและพยานแวดล้อมทั้งก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุประกอบกัน

2 การฆ่าโดยทรมาน หมายถึง การฆ่าโดยกระทำที่มิได้ทำให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายในทันที แต่ทำให้ได้รับความลำบากจนตายลงในที่สุด ส่วนการฆ่าโดยกระทำทารุณโหดร้าย หมายถึง การฆ่าโดยวิธีที่ดุร้ายยิ่งกว่าการกระทำให้ตายโดยทั่วๆไป ผู้ถูกฆ่าอาจตายในทันทีโดยไม่ได้รับความลำบากเลยก็ได้)

(หลักกฎหมาย ป.อ.มาตรา 288 , 289(4)(5) ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง , 225)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

พัฒนาระบบเทคโนโลยีให้แก่สภาทนายความตามนโยบายเพื่อให้ผู้สมัครเข้าอบรมและทดสอบ วิชาว่าความ ของสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภา

📍คณะ ดร.วิเชียร ชุบไธสง ในฐานะผู้บริหารสภาทนายความ ปีบริหาร 2565-2568 ได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีให้แก่สภาทนายความตามนโยบายเพื่อให้ผู้สมัครเข้าอบรมและทดสอบ

วิชาว่าความ ของสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ใช้งานและเปิดให้บริการสมัครผ่านระบบออนไลน์ และจะประกาศผลสอบผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2568 (ภาคทฤษฎีรุ่นที่ 65 )

♦️คณะ ดร.วิเชียร ชุบไธสง ผู้สมัครนายกเบอร์ 3 และกรรมการสภาทนายความ เบอร์ 25 ถึง 46

#24 สิงหาคม 2568 เข้าคูหากา (X)ยกทีม

#สานงานต่อ ก่องานเพิ่ม เริ่มงานใหม่

 

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3636.หมิ่นประมาทในระหว่างเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร

คำพิพากษาฎีกาที่ 1547/2567 (เล่ม 9 หน้า 1886) ระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่จำเลย ร้องเรียนโจทก์ร่วมทำรั้วต่อจากรั้วเดิมติดบ้านของจำเลยและสร้างกันสาดด้านหลังบ้านโดยยังไม่ยุติว่าข้อพิพาทเกิดขึ้นจากความรับผิดของฝ่ายใด ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันไปมาไม่ฟังกัน บรรยากาศเหมือนจะทะเลาะกัน แต่โจทก์ร่วมไม่ได้กล่าวถ้อยคำใดที่มีลักษณะเป็นการดูหมิ่นหรือใส่ความจำเลย ถ้อยคำที่โจทก์ร่วมพูดว่า “เงินก็ของฉัน บ้านก็ของฉัน การสร้างรั้วก็เงินของฉัน” เป็นเพียงการบรรยายความรู้สึกของโจทก์ร่วมต่อกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านในเชิงตัดพ้อมิได้มีลักษณะ เป็นการพูดกระทบจำเลย จึงไม่มีพฤติการณ์ใดที่จำเลยจะอ้างว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเจรจาจนต้องพูดย้อนคำของโจทก์ร่วมว่า “แสดงถึงมารยาทเห็นไหมคะ ว่าเขาไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย คนมันมีการศึกษา มันไม่มีมารยาท มันสะกดคำว่าสามัญสำนึกกับคำว่ามารยาทไม่เป็น มันก็เลยเป็นอย่างนี้แหละ กระจกมันเลยสะท้อนเข้าตัวเองนั่นแหละ” และถ้อยคำที่ว่า “ไม่ต้องขอบคุณเลยค่ะ คนอย่างเธอนะ ซวยที่ต้องมาเจอ เพื่อนบ้านเลวๆแบบนี้” จำเลยกล่าวขึ้นหลังจากโจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะเจรจาต่อและจะเดินทางกลับ เช่นนี้ข้อความที่จำเลยกล่าวเป็นข้อความที่จำเลยสื่อสารกับบุคคลที่สามที่อยู่ในห้องประชุมถึงพฤติกรรมของโจทก์ร่วม ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของคำว่า “มารยาท” ว่ากิริยาวาจาที่ถือว่าสุภาพเรียบร้อยถูกกาลเทศะ ส่วนคำว่า “สามัญสำนึก” ว่าความสำนึก หรือความเฉลียวใจที่คนปกติธรรมดาทั่วไปควรจะต้องรู้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำสั่งสอน และคำว่า “เลว” ว่า ต่ำ ทราม เช่น มารยาทเลว ถ้อยคำที่จำเลยว่าโจทก์ร่วมให้บุคคลที่สามฟังนอกจากจะมีลักษณะเป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทโจทก์ร่วมแล้ว โดยเฉพาะถ้อยคำตอนท้ายที่ว่า “มีเพื่อนบ้านเลวๆแบบนี้” วิญญูชนทั่วไปย่อมอาจเข้าใจว่า จำเลยเจาะจงว่าโจทก์ร่วมเป็นคนต่ำทราม เห็นแก่ตัว มีกิริยาวาจาหยาบ ไม่มีสำนึกเช่นคนปกติทั่วไป และย่อมเป็นคนโชคร้ายหากต้องพักอาศัยอยู่ใกล้ หาใช่เป็นเพียงการระบายความรู้สึกของจำเลยไม่ ทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมแล้ว

จำเลยกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมในระหว่างเจรจาไกล่เกลี่ยซึ่งมีบุคคลที่สามรับฟังไม่มาก การให้จำเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 423 ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะเยียวยาความเสียหายของโจทก์ร่วมแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่จะมีคำสั่งให้จำเลยจัดทำป้ายไม้อัดมีข้อความในทำนองขออภัยโจทก์ร่วมตาม ป.พ.พ.มาตรา 447 เพราะไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำของจำเลย

(หมายเหตุ 1 คดีนี้จำเลยกล่าวข้อความดังกล่าวภายหลังจากโจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะเจรจาต่อและจะเดินทางกลับ ข้อความที่จำเลยกล่าวเป็นข้อความที่จำเลยสื่อสารกับบุคคลที่สามที่อยู่ในห้องประชุมถึงพฤติกรรมของโจทก์ร่วม

2 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

3 ศาลฎีกาพิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 326 จำคุก 1 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี)

(หลักกฎหมาย ป.อ.มาตรา 326 ป.พ.พ.มาตรา 423 ป.วิ.อ.มาตรา 44/1)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849