อย่าง ท้วมท้นกองเชียร์และกองหนุนเบอร์ 3

เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 18.00 น. ณ ร้านอาหารครัวพันธ์ุไม้ เมืองพัทยา ดร.วิเชียร ชุบไธสง ผู้สมัครนายก หมายเลข 3 และกรรมการสภาทนายความหมายเลข 25-46 ซึ่งได้รับการต้อนรับจากทนายความที่อยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพัทยา กว่า 200 คน ได้เดินทางมารับฟังการสรุปผลงานและรับฟังนโยบายสำหรับการที่จะขับเคลื่อนสภาทนายความในปี 2568-2571 ทุกคนมั่นใจในตัวผู้สมัครซึ่งล้วนแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการองค์กร มีวุฒิภาวะสูงทุกคนที่มาร่วมงานในวันนี้ตัดสินใจแล้วที่จะเลือกยกทีมทั้งคณะเพื่อให้โอกาส สานงานต่อ ก่องานเพิ่ม เริ่มงานใหม่

#จึงขอขอบคุณทนายความพัทยา

#เลือกนายก หมายเลข 3 และ กรรมการสภาทนายความหมายเลข 25-46

#เลือกยกทีม

#สานงานต่อ ก่องานเพิ่ม เริ่มงานใหม่

#นโยบายดีไม่โจมตีใคร

เชิญเข้าร่วมอบรมวิชาการ 【 ฟรี ) 👉 เรื่อง “ นิติวิทยาศาสตร์กับการนำไปประกอบวิชาชีพทนายความ ”

📢 สถาบันพัฒนาวิชาชีพทนายความ เปิดอบรมวิชาการ 📢

⚖️ เชิญเข้าร่วมอบรมวิชาการ 【 ฟรี 】🚩⚖️

👉 เรื่อง “ นิติวิทยาศาสตร์กับการนำไปประกอบวิชาชีพทนายความ ”

– การตรวจพิสูจน์พยานเอกสารและลายพิมพ์นิ้วมือ

– การตรวจพิสูจน์คลิปเสียงหรือภาพเคลื่อนไหว

– การตรวจสอบเส้นทางการเงินของอาชญากร

 

—เชิญพบกับ —

🔶 ดร.วิเชียร ชุบไธสง

นายกสภาทนายความ

 

🔶 ดร.วิรัลพัชร เวธทาวริทธิ์ธร

อุปนายกฝ่ายวิชาการ สภาทนายความ

 

🔶 อาจารย์ประจวบ ควรขจร

ผู้ตรวจพิสูจน์พยานเอกสาร

 

🔶 อาจารย์เกียรติศักดิ์ คงพันธ์

ผู้ตรวจพิสูจน์พยานเอกสาร

 

🔶 นายเดชฤทธิ์ ธรรมสถิต (เคน)

ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI

 

🔶 ร้อยตำรวจเอก สุรวุฒิ รังไสย์

รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

 

— วันที่อบรม —

📆 วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2568

🕰 เวลา 09.00 – 16.00 น.

📍 ณ ห้องประชุม ชั้น 5 สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์

 

📝การลงทะเบียนมี 2 ช่องทาง

🪑 Onsite : https://forms.gle/Ry4Hv5p2nWK7vhnK7

💻 Online : https://forms.gle/w7sEf7vqkijuUKgHA

—————————

📞ติดต่อสอบถาม : คุณพิมพ์ฉวี คุณจิดาภา

โทร. 06 4291 4640, 0 2522 7167

⚖_______________⚖

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3651.ลักษณะการเป็นนายจ้างลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน

คำพิพากษาฎีกาที่ 5273/2567 (เล่ม 10 หน้า 2285) อุทธรณ์ของโจทก์อ้างว่า สัญญาจ้างทำขึ้นโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจควบคุมบังคับบัญชาจำเลยร่วม จำเลยร่วมไม่ใช่ลูกจ้างของโจทก์ และไม่ได้ทำงานให้แก่โจทก์ แม้มีการอ้างคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารต่างๆ มาด้วย แต่เป็นการบรรยายเพื่อแสดงให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางรับฟังไม่เป็นไปตามพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบไว้ในสำนวนอย่างไร และคำพิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยไม่ครบถ้วนตามคำฟ้องโจทก์อย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายมิใช่อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยถึงนิติสัมพันธ์ความเป็นนายจ้างและลูกจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วม โดยพิจารณาแต่เพียงถ้อยคำที่ระบุถึงฐานะของคู่สัญญาในเอกสารสัญญาจ้างว่าทำสัญญาต่อกันในฐานะนายจ้างและลูกจ้าง โดยไม่ได้พิจารณาถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมว่ามีการปฏิบัติต่อกันมาหรือไม่ อย่างไร จึงเป็นกรณีที่ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้รับฟังข้อเท็จจริงให้ชัดเจนเพียงพอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โจทก์กับจำเลยร่วมมีนิติสัมพันธ์เป็นนายจ้างลูกจ้างกันหรือไม่ อันจะส่งผลต่อประเด็นแห่งคดีที่ว่า คำสั่งของจำเลยทั้งสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจะเป็นเหตุให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสองหรือไม่ต่อไป ทั้งโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยร่วมถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ลงโทษต้องห้ามเป็นลูกจ้างโจทก์ตามกฎหมายหรือไม่ หรือที่จำเลยร่วมทำสัญญาจ้างกับโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการเข้าเป็นลูกจ้างโจทก์หรือไม่ คำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง เช่นนี้ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาในการรับฟังพยานหลักฐาน และเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 51(1)

(หมายเหตุ 1 ตามบทบัญญัติ ป.พ.พ.มาตรา 575 และมาตรา 583 ประกอบ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ลูกจ้างคือผู้ซึ่งทำงานให้แก่นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง โดยอยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาของนายจ้าง หมายความว่าลูกจ้างต้องทำงานตามที่นายจ้างสั่ง ต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือข้องบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน หากฝ่าฝืนนายจ้างสามารถลงโทษได้ นิติสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงานจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่ก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ต่อกันระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง)

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ.มาตรา 575 , 583 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ พ.ศ.2522 มาตรา 51 , 54 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3650.กำหนดเวลาการทำงานล่วงหน้าไว้ในขณะทำสัญญาจ้างแรงงาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969-3975/ 2567 (เล่ม 5 หน้า 117) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 24 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติไว้ว่า “ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆไป” ซึ่งหมายความว่า หากนายจ้างประสงค์ที่จะให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานแล้ว นายจ้างต้องขอความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเริ่มทำงานล่วงเวลาในแต่ละคราวๆไป นายจ้างถึงจะมีสิทธิให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานได้ แต่สัญญาจ้างแรงงานของโจทก์ทั้งเจ็ดกำหนดไว้เหมือนกันในข้อ 2. การปฏิบัติงานข้อ 2.1 กำหนดไว้ว่า เวลาปฏิบัติงานปกติให้ถือเวลาที่กำหนดโดยนายจ้าง ข้อ 2.2 ค่าล่วงเวลา ให้ถือเวลาที่นอกเหนือจากเวลาทำงานปกติและตามเอกสารแนบท้ายสัญญาจ้างแรงงาน ระบุในข้อ 1.2 เวลาทำงานนอกฝั่ง กะกลางวัน เวลา 6 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา / กะกลางคืนเวลา 18 นาฬิกา ถึง 6 นาฬิกา โดยคิดเป็นเวลาทำงานปกติ 8 ชั่วโมง และส่วนที่เหลือเป็นค่าจ้างล่วงเวลา จึงเท่ากับว่าจำเลยกำหนดให้โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานล่วงเวลาในวันทำงานทุกวันไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ขณะทำสัญญาจ้างแรงงาน เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้นายจ้างต้องขอความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆไปก่อนเริ่มทำงานล่วงเวลาในวันทำงานตามที่มาตรา 24 วรรคหนึ่ง กำหนดไว้ การที่จำเลยกำหนดให้โจทก์ทั้งเจ็ดต้องทำงานล่วงเวลาในวันทำงานไว้ล่วงหน้าวันละ 4 ชั่วโมง เป็นการขัดต่อมาตรา 24 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับ ย่อมไม่อาจนำสัญญาจ้างแรงงานพร้อมเอกสารแนบท้ายสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวมารับฟังทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการกำหนดเวลาการทำงานปกติและเวลาการทำงานล่วงเวลาได้

จำเลยส่งโจทก์ทั้งเจ็ดไปทำงานกับบริษัท ช. ซึ่งบริษัท ช. กำหนดเวลาการทำงานปกติให้โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานเป็นกะ กะละ 12 ชั่วโมง ต่อวัน ซึ่งการกำหนดเวลาการทำงานปกติดังกล่าวนั้นเป็นการกำหนดที่สอดคล้องกับกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2541) ออกตามความใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และกฎกระทรวงฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2543) ออกตามความใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยกฎกระทรวงดังกล่าวได้กำหนดให้งานในกิจการปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม รวมตลอดถึงงานซ่อมบำรุง และงานให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับงานดังกล่าวเฉพาะที่ทำในแปลงสำรวจและพื้นที่ผลิต ให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันกำหนดเวลาทำงานปกติ โดยกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงาน แต่วันหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง การที่บริษัท ช. กำหนดเวลาการทำงานปกติให้โจทก์ทั้งเจ็ดทำงานวันละ 12 ชั่วโมง โดยโจทก์ทั้งเจ็ดตกลงทำงานตามที่บริษัท ช.กำหนดไว้แล้วจึงต้องถือว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมีเวลาทำงานในวันทำงานปกติวันละ 12 ชั่วโมง มิใช่มีเวลาทำงานในวันทำงาน ปกติวันละ 8 ชั่วโมง และทำงานล่วงเวลาในวันทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น เงินที่โจทก์ทั้งเจ็ดได้รับจากการทำงานในเวลาการทำงานปกติวันละ 12 ชั่วโมง จึงเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายวันเป็นค่าจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคิดคำนวณสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง โดยไม่คำนึงว่าจำเลยจะเรียกเงินที่จ่ายให้โจทก์ทั้งเจ็ดในช่วงระหว่างเวลาการทำงาน 4 ชั่วโมงสุดท้ายของวันว่าเป็นค่าจ้างหรือไม่ก็ตาม การที่จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งเจ็ด โดยนำแต่เฉพาะค่าจ้างที่โจทก์ทั้งเจ็ด ได้รับจากการทำงานในเวลาทำงานปกติวันละ 8 ชั่วโมง มาเป็นฐานในการคิดคำนวณจึงไม่ถูกต้อง จำเลยต้องนำค่าจ้างที่โจทก์ทั้งเจ็ดได้รับจากการทำงานในเวลาการทำงานปกติอีกวันละ 4 ชั่วโมง มาเป็นฐานในการคิดคำนวณด้วย

(หลักกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 , 6 ,22 , 24 วรรคหนึ่ง)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3649.คำร้องขออนุญาตฎีกาในคดีอาญาต่อศาลฎีกา

คำสั่งคำร้องที่ ท.204/2567 (เล่ม 5 หน้า 189) เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 1 ถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2566 จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องตรวจสอบให้รอบคอบว่า ศาลอนุญาตให้ขยายถึงวันใด แต่จำเลยกลับตรวจสอบวันครบกำหนดผิดพลาดไปจึงถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของจำเลยเอง ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยที่ศาลจะอนุญาตให้จำเลยขยายเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 เมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้วได้

(หมายเหตุ 1 คดีนี้ครบกำหนดเวลายื่นฎีกาในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566

2 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายเวลาฎีกาครั้งที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2566

3 วันที่ 4 ธันวาคม 2566 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 ศาลชั้นต้นยกคำร้อง

4 วันที่ 25 ธันวาคม 2566 จำเลยยื่นฎีกาพร้อมกับคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา

5 ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นแรกว่า เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาครั้งที่ 2 ของจำเลยแล้ว หากจำเลยประสงค์จะคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามลำดับชั้นศาล

6 ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มิใช่เป็นคดีที่มีบทบัญญัติให้การฎีกาจะกระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา จึงให้ยกคำร้องขออนุญาตฎีกาและการพิจารณาว่าจะสั่งรับหรือไม่รับฎีกาเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้น จึงให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการพิจารณาตรวจสั่งฎีกาของจำเลยตาม ป.วิ.อ.มาตรา 223 ต่อไป)

(หลักกฎหมาย ป.วิ.พ.มาตรา 23)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3648.ไม่มีการชี้สองสถาน ศาลต้องส่งวันนัดสืบพยานให้แก่คู่ความที่ไม่ได้มาศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4637/2567 ป.วิ.พ. มาตรา 184 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน ให้ศาลออกหมายกำหนดวันนัดสืบพยานส่งให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน” การที่ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยที่ 7 แล้วนัดฟังคำพิพากษาไปโดยมิได้แจ้งวันนัดสืบพยานให้จำเลยอื่นซึ่งเป็นคู่ความที่มิได้มาศาลในวันที่ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานทราบ จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยอื่นที่ไม่ได้มาศาลในวันกำหนดนัดสืบพยานขาดนัดยื่นคำให้การแล้วก็ตาม เพราะจำเลยอื่นที่ขาดนัดยื่นคำให้การนี้ยังคงมีสิทธิถามค้านพยานโจทก์ได้ เพียงแต่จะนำสืบพยานหลักฐานของตนไม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคสอง ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยที่ 7 ที่ 32 ที่ 34 และที่ 40 ในวันที่ 25 ถึง 27 พฤศจิกายน 2563 โดยมิได้แจ้งวันนัดสืบพยานให้จำเลยอื่นที่ขาดนัดยื่นคำให้การและมิได้มาศาลทราบและต่อมามีการสืบพยานตามที่กำหนดนัดไว้ แล้วศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาโดยมิได้แจ้งวันนัดให้จำเลยอื่นที่ขาดนัดยื่นคำให้การดังกล่าวทราบ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ และไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรเพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่การนัดสืบพยานเป็นต้นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 เมื่อปรากฏเหตุที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณา ศาลฎีกาจำต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 252

(หลักกฎหมาย ป.วิ.พ. มาตรา 27, 142 (5), 184 วรรคสอง, 199 วรรคสอง, 243 (2), 246, 252)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849

 

นายกสภาทนายความ เป็นวิทยากรในการอบรมและทดสอบเพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายในศาลเยาวชนและครอบครัว ครั้งที่ 1/2568

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568 เวลา 9.00-16.30 น. ณ โรงแรมท็อปแลนด์ จังหวัดพิษณุโลก ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางร่วมกับสภาทนายความจัดกิจกรรมอบรมและทดสอบผู้ประสงค์ขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษากฎหมายในศาลเยาวชนและครอบครัว ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนามาตรฐานการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่เด็ก เยาวชน และครอบครัวในกระบวนการยุติธรรม

การอบรมมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความพร้อมในการให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่เด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางกฎหมายและบรรทัดฐานวิชาชีพ อันจะนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิและประโยชน์สูงสุดของเด็ก เยาวชนและครอบครัวอย่างเป็นธรรม

ในโอกาสนี้ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “การเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษากฎหมาย” โดยได้ถ่ายทอดแนวคิด ประสบการณ์ และมุมมองเชิงวิชาชีพอันเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ที่ต้องอาศัยทั้งทักษะทางกฎหมายและความเข้าใจในจิตวิทยาเด็กและครอบครัวอย่างลึกซึ้ง ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการให้คำปรึกษาในบริบทของศาลเยาวชนและครอบครัว พร้อมชี้แนะแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม

ทั้งนี้ การอบรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7–8 มิถุนายน 2568 โดยมีผู้เข้ารับการอบรมทั้งสิ้นจำนวน 500 คน

ด่วน! แจ้งเตือน มิจฉาชีพได้ปลอมแปลงบัญชี Facebook โดยแอบอ้างชื่อ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯ

ประกาศแจ้งเตือน

เรียนทุกท่านโปรดทราบ

 

ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีมิจฉาชีพได้ปลอมแปลงบัญชี Facebook ของตน โดยแอบอ้างชื่อ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ จำนวนทั้งสิ้น 3 บัญชี ดังนี้:

1. ดร.วิเชียร ชุบไธสง (นายกสภาทนายความความ)

2. ดร.วิเชียร์ ชุบไธสง

3. ทนายความ ดร.วิเชียร ชุบไธสง

ทั้งนี้ บัญชีปลอมแปลงดังกล่าวได้ใช้รูปโปรไฟล์ของ ดร.วิเชียร ชุบไธสง ตามที่ปรากฏในเอกสารแนบ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและหลอกลวงประชาชน

 

จึงขอให้ทุกท่านโปรดใช้ความระมัดระวัง หากพบเห็นบัญชีใดที่มีลักษณะดังกล่าว ขอความร่วมมืออย่าหลงเชื่อ หรือให้ข้อมูลส่วนตัวใด ๆ และสามารถแจ้งเบาะแสเพิ่มเติมมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน

เตรียมพบกับมิติใหม่แห่งโอกาสในสายวิชาชีพทนายความ

ดร.วิเชียร ชุบไธสง เปิดผยว่า ทาง คณะ ดร.วิเชียร ชุบไธสง ผู้สมัครนายกสภาทนายความ หมายเลข 3 และผู้สมัครกรรมการสภาทนายความ หมายเลข 25–46 เตรียมจัดงาน LEGAL CAREER EXPO เพื่อเปิดเวทีเชื่อมโยงระหว่างทนายความและสำนักงานกฎหมายชั้นนำของประเทศ สร้างโอกาสในการร่วมงานและเติบโตในสายวิชาชีพอย่างยั่งยืน

 

✅วันจัดงาน : วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2568

สถานที่ : ดองกิ ฮอลล์ ชั้น 4 ทองหล่อ

 

❎ภายในงานเตรียมพบกับ สำนักงานกฎหมายชั้นนำที่จะมาเปิดบูธรับสมัครงาน พร้อมกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนะแนววิชาชีพจากผู้เชี่ยวชาญในแวดวงกฎหมาย

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

3646.ซื้อห้องชุดติดจำนอง แม้จะชำระราคาห้องชุดครบถ้วนแล้ว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายังบังคับคดีได้

คำพิพากษาฎีกาที่ 4767/2567 (เล่ม 10 หน้า 2237) ธนาคารจำเลยที่ 7 เป็นเจ้าหนี้จำนองซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีหลักประกันพิเศษเหนือที่ดินของจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาของศาล โจทก์เป็นเพียงผู้ซื้อห้องชุดในโครงการบนที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 ภายหลังจำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองแก่จำเลยที่ 7 แล้ว แม้โจทก์ได้ชำระราคาครบถ้วนและเข้าครอบครองห้องชุดแล้ว สิทธิของโจทก์ในห้องชุดถือว่าเป็นสิทธิอื่นๆ และเป็นสิทธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียน ไม่อาจใช้ได้ก่อนสิทธิจำนองตาม ป.พ.พ.มาตรา 287 จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวมีสิทธิบังคับคดีแก่ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งห้องชุดที่โจทก์ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยที่ 1 ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 7 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1300

(หลักกฎหมาย ป.พ.พ.มาตรา 287 , 1300)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849