ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …
3457.ให้ อ.บ.ต. ยืมสินค้าไปใช้งาน ต้องฟ้องภายใน 2 ปี
คำพิพากษาฎีกาที่ 204/2567 (เล่ม 1 หน้า 64) (ประชุมใหญ่) ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนสินค้าจำพวกวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์สำหรับใช้ในสำนักงานที่รับไปจากโจทก์และยังไม่ได้ชำระราคา หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่กระทบสิทธิของจำเลยที่ 2 ที่อาจใช้สิทธิ ฎีกาได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2
สินค้าตามใบยืมสินค้าที่โจทก์ส่งมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นสินค้าจำพวกวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์ใช้ในสำนักงาน บางรายการเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้สิ้นเปลืองหมดไป โดยสภาพของสินค้าเมื่อมีการใช้ประโยชน์แล้วโจทก์ไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ ตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าไปจากโจทก์รวม 35 ครั้ง จำเลยที่ 1 ไม่เคยคืนสินค้า ให้แก่โจทก์ แต่จะชำระค่าสินค้าบางส่วนให้แก่โจทก์ แสดงว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์ที่จะรับสินค้าคืนแต่ประสงค์ที่จะรับค่าสินค้า ส่วนจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ประสงค์คืนสินค้าแต่ประสงค์ที่จะชำระค่าสินค้า ลักษณะการกระทำระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มุ่งประสงค์ในการที่จะซื้อขายสินค้าและให้มีการชำระราคาสินค้าที่จำเลยที่ 1 รับไปจากโจทก์ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ตาม ป.พ.พ.มาตรา 453 กรรมสิทธิ์ในสินค้าตกเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วตั้งแต่มีการซื้อขายและส่งมอบสินค้ากัน ไม่ใช่สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข โจทก์ไม่มีสิทธิติดตามเอาสินค้าคืน ตามมาตรา 1336
โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าจำหน่ายเครื่องเขียน เครื่องใช้สำนักงาน ครุภัณฑ์ ถือว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/34(1) จำเลยที่ 1 รับมอบสินค้าจากโจทก์ครั้งสุดท้าย วันที่ 23 มิถุนายน 2559 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินค้าจากจำเลยที่ 1 อย่างช้าที่สุดตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 3 มกราคม 2563 พ้นกำหนดเวลา 2 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
(หมายเหตุ 1 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น อ.บ.ต. และจำเลยที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งนายก อ.บ.ต. ว่ายืมสินค้าไปจากโจทก์ ขอให้คืนสินค้าที่ยืมไป หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันชำระเงิน 275,277 บาท
2 ใบยืมสินค้าแต่ละใบ มีหมายเหตุว่า ข้าพเจ้า(จำเลยที่ 1) ผู้ยืมสินค้าได้รับสินค้าตามรายการสินค้าดังกล่าวข้างต้นไปครบถ้วนถูกต้องแล้ว และข้าพเจ้า(จำเลยที่ 1) สัญญาว่าจะนำสินค้าตามรายการดังกล่าวข้างต้นมาส่งคืนให้แก่ผู้ให้ยืม(โจทก์) ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันยืมสินค้า หากส่งคืนสินค้าให้แก่ผู้ให้ยืม(โจทก์)ไม่ได้ ผู้ยืมสินค้า(จำเลยที่ 1) ตกลงชำระเงินให้แก่ผู้ให้ยืม(โจทก์) แทนค่าสินค้าจนครบถ้วน และตกลงให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ให้ยืม(โจทก์) ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ยืมสินค้า และยินยอมให้ผู้ให้ยืมสินค้า(โจทก์) ฟ้องร้องบังคับคดีได้ทันทีนับแต่วันผิดนัดผิดสัญญา
3 ทางพิจารณา ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงินของโจทก์ ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เกี่ยวกับการฟ้องคดีนี้ โจทก์ประสงค์จะเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินค้าแทนการคืนสินค้า
4 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนสินค้า หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
5 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข บังคับไว้ และโจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์คืนจากผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
6 ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยดังกล่าวข้างต้น โดยพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย)
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849