ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …
3443.ถูกตัดไม่ให้ได้รับมรดก จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2567 (เล่ม 1 หน้า 171) ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้อง ของพนักงานอัยการ กรณีจึงไม่อาจฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากคำฟ้องได้ เมื่อฟ้องโจทก์ระบุเพียงว่าเป็นการกระทำต่อทรัพย์มรดกของผู้ตาย มิได้กล่าวอ้างว่ากระทำต่อทรัพย์มรดกของบิดาผู้ร้องที่ผู้ตายครอบครองแทน ดังนั้น ที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายมีส่วนของบิดาผู้ร้องรวมอยู่ด้วยและผู้ร้องเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับทรัพย์มรดกในส่วนของบิดา จึงเป็นการนำข้อเท็จจริงซึ่งมิใช่การกระทำทั้งหลายที่โจทก์อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิดและเป็นข้อที่มิได้กล่าวมา ในฟ้องมาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่า ผู้ตายทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับโดยแสดงเจตนาไว้ชัดแจ้ง ด้วยการระบุตัวผู้ร้องเป็นทายาทผู้ถูกตัดที่ให้รับมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1608 วรรคสอง คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย การที่จำเลยจะใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ตายโอนเงินโดยมิชอบหรือลักทรัพย์ของผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายหรือไม่ ย่อมไม่ทำให้ผู้ร้อง ได้รับความเสียหาย ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2(4) และไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30
(หมายเหตุ 1 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ อ้างว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายมีส่วนของ บิดาผู้ร้องรวมอยู่ด้วย ผู้ร้องจึงเป็นผู้เสียหาย
2 ก่อนคดีนี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ผู้ตายทำพินัยกรรมตัดไม่ให้ผู้ร้องรับมรดก
3 ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 2(4)
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849