ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …
3317.ตำรวจตั้งจุดตรวจโดยไม่มีแผ่นป้ายแสดงรายชื่อตำรวจประจำจุดตรวจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4285- 4286/2565 (เล่ม 11 หน้า 97) การตั้งจุดตรวจเป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจภายในเขตท้องที่รับผิดชอบของตนให้เป็นไปตามนโยบายและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น จำเลยทั้งสาม ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ในการนี้ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ควบคุม เป็นการตั้งจุดตรวจโดยเปิดเผย มีการวางกรวยบังคับช่องทางเดินรถให้ตรงมายังจุดตรวจ กับมีแผงกั้นที่มีเครื่องหมายจราจรว่า “หยุด” และสัญญาณไฟแสดงให้เห็นว่าเป็นจุดตรวจที่ตั้งโดยเจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานชั้นสัญญาบัตรที่ประจำอยู่จุดตรวจ อันเป็นการปฏิบัติ ตามมาตรการที่กำหนดโดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ การตั้งจุดตรวจนี้เป็นไปโดยชอบด้วยระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องแล้ว การที่ไม่ปรากฏแผ่นป้ายแสดงยศ ชื่อ ชื่อสกุล และตำแหน่งเจ้าพนักงานตำรวจที่ประจำจุดตรวจแม้จะเป็นข้อบกพร่องแต่ก็ไม่ถึงขนาดทำให้การตั้งจุดตรวจดังกล่าวกลายเป็นจุดที่ไม่ชอบด้วยกฎระเบียบแต่อย่างใด สภาพการตั้งจุดตรวจประสงค์จะตรวจยานพาหนะและบุคคลที่โดยสารมาด้วย อันเป็นมาตรการในการป้องกันและปราบปราม อาชญากรรมตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจเป็นหลัก หาได้มีเจตนาพิเศษเพื่อจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริต เพื่อหวังส่วนแบ่งรายได้จากเงินค่าปรับที่เปรียบเทียบปรับจากผู้สัญจรบนถนนดังกล่าว โจทก์เป็นฝ่ายเดินเข้าไปสอบถามถึงความชอบด้วยระเบียบของการตั้งจุดตรวจ ทั้งๆที่ตนเองไม่ใช่ผู้ขับขี่ยานพาหนะผ่านจุดตรวจและถูกเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจค้น เป็นไปในลักษณะที่โจทก์พูดจาต่อล้อต่อเถียงไม่รับฟังเหตุผลและคำชี้แจงของเจ้าพนักงานตำรวจ มีการใช้คำพูดทำนองยั่วยุ ซ้ำๆ และใช้คำถามนำเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจ ตอบคำถามตามที่โจทก์ต้องการ โดยระหว่างนั้นโจทก์ก็ใช้กล้องในโทรศัพท์เคลื่อนที่บันทึกภาพเคลื่อนไหวพร้อมบทสนทนาถ่ายทอดสดผ่านแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊ก เพื่อให้สมาชิกผู้เข้าชมทางแอปพลิเคชั่นดังกล่าวเห็นเหตุการณ์ไปพร้อมกัน พฤติการณ์ดังกล่าวส่อไปทำนองก่อความเดือดร้อนและรบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุสมควร ซึ่งผิดวิสัยที่วิญญูชนพึงปฏิบัติ กรณีจึงมีเหตุอันควรที่เจ้าพนักงานตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในขณะนั้นจะสงสัยว่าโจทก์มีสิ่งของที่เกี่ยวกับการกระทำผิดใดไว้ในครอบครอง หรือเสพสิ่งเสพติด หรือวัตถุออกฤทธิ์ใดหรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ภายใต้การควบคุมของจำเลยที่ 2 ขอตรวจค้นตัวโจทก์ก็ดี ขอตรวจสอบบุคคลโดยให้โจทก์แสดงบัตรประจำตัวประชาชนก็ดี ขอตรวจหาสารเสพติดจากปัสสาวะของโจทก์ทั้งในที่เกิดเหตุก็ดี รวมทั้งการขอตรวจหาสารเสพติดอื่นๆจากปัสสาวะของโจทก์ที่สถานีตำรวจก็ดี ล้วนเป็นการปฏิบัติไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยชอบ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 93 คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 452/2542 เรื่องแต่งตั้งเจ้าพนักงานตรวจบัตรและพนักงานเจ้าหน้าที่กับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 58/1 และ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 มาตรา 94 ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุแล้ว แม้จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะไม่ใช่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่าขึ้นไปที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ปฏิบัติภายใต้การกำกับดูแลของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ควบคุมจุดตรวจ ทั้งเป็นผู้สั่งการให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ตรวจหาสารเสพติดจากปัสสาวะของโจทก์ คือ ร้อยตำรวจเอก ส. รองสารวัตรป้องกันและปราบปรามประกอบกับการตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดในร่างกาย มิใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 อันจะต้องพิจารณาถึงระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด แต่อย่างใด
เจ้าพนักงานตำรวจขอให้โจทก์แสดงบัตรประจำตัวประชาชน นอกจากโจทก์จะไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน แสดงแล้ว ยังพูดจาโยกโย้จะขอแสดงบัตรเอทีเอ็มแทนบ้าง และให้เจ้าพนักงานตำรวจไปขอคัดเอกสารทะเบียนราษฎรเองบ้าง เพื่อเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาแก่โจทก์ว่า ไม่อาจแสดงบัตรประจำตัวประชาชนเมื่อเจ้าพนักงานขอตรวจ และเชิญโจทก์ไปสถานีตำรวจได้ปฏิเสธและมีการพูดจาโต้ตอบเป็นระยะ เป็นในทำนองขัดขืนที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ของเจ้าพนักงานตำรวจ จึงย่อมมีความจำเป็นที่เจ้าพนักงานตำรวจจะต้องจับตัวโจทก์ ไปโดยแม้ความผิดที่โจทก์ถูกกล่าวหาจะเป็นเพียงความผิดลหุโทษ แต่ก็เป็นความผิดซึ่งหน้า การจับกุมโจทก์จึงเป็นไปโดยชอบ ด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 78 ,80 และ 83 แล้ว
การที่มีการแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหาไม่อาจแสดงบัตรประจำตัวประชาชนเมื่อเจ้าพนักงานขอตรวจ กับต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ จึงเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อจำเลยทั้งสาม การกระทำของจำเลยทั้งสามตามพยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องล้วนเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ หรือกลั่นแกล้งโจทก์ แต่เหตุตามฟ้องล้วนเกิดขึ้นด้วยเจตนาของโจทก์ที่ต้องการแพร่ภาพและเสียงของเหตุการณ์ เพื่อสื่อไปยังบุคคลอื่นให้มีความเชื่อคล้อยตามที่โจทก์พยายามพูดชี้นำว่า มีการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าพนักงานโดยไม่ชอบ ทั้ง ๆที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทราบความจริง สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างความเข้าใจผิดต่อกลุ่มบุคคล ก่อให้เกิดทัศนคติ ในทางลบต่อเจ้าพนักงานของรัฐ ส่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาไม่สุจริตของโจทก์ คดีโจทก์สำหรับข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 และ 200 วรรคสอง ไม่มีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849