ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …
3114.ค่าอุปการะเลี้ยงดูของคู่สมรสก่อนถึงแก่ความตายเป็นมรดกเมื่อคู่สมรสถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาฎีกาที่ 2107/2566 (หน้า 1728 เล่ม 7) สิทธิที่โจทก์จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยระหว่างเป็นสามีภริยากัน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1461 วรรคสอง แม้จะสละหรือโอนมิได้และไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี ตามมาตรา 1578/41 แต่โจทก์มีสิทธินั้นก่อนที่จะถึงแก่ความตายประกอบกับโจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยที่ 1 ตามสิทธิแล้ว สิทธิในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์โดยแท้ และเป็นกองมรดกของโจทก์ตามมาตรา 1600 เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตาย สิทธินี้ย่อมตกทอดแก่ทายาท ตามมาตรา 1599
(หมายเหตุ 1 โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2519 ไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมาปี พ.ศ. 2556 โจทก์เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล และต่อมาศาลมีคำสั่งให้โจทก์เป็นคนไร้ความสามารถ โดยมี ป.บุตรโจทก์ซึ่งเกิดจากสามีคนเดิมเป็นผู้อนุบาล และ โจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
2 โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดกับจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 แบ่งสินสมรสให้แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่ารักษาพยาบาล ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ 100,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าทดแทน 50 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย
3 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทน 1 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 4 ศาลอุทธรณ์คดีชำนาญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าบริการ เดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้อง
5 จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า สิทธิในการให้เข้าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิเฉพาะตัว หาใช่ทรัพย์มรดก เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตายสิทธิดังกล่าวย่อมตกไป
6 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิดังกล่าวก่อนที่จะถึงแก่ความตายประกอบกับโจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยที่ 1 ตามสิทธิแล้ว สิทธิในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์โดยแท้ และเป็นกองมรดกของโจทก์
7 จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ค่าทดแทนที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนาญพิเศษกำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระสูงเกินไป
8 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสและอยู่กินด้วยกันตั้งแต่ ปี 2519 จนถึงปี 2543 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ด้วยกันในประเทศไทย อันเป็นการครองชีวิตคู่อยู่ด้วยกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนทั้งคู่ต่างเข้าสู่วัยชราที่คาดหวังเพื่อฝากอนาคตและชีวิตไว้กับอีกฝ่ายเพื่อดูแลซึ่งกันและกัน ประกอบกับโจทก์ซึ่งมีปัญหาเรื่องสุขภาพที่ต้องเข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องแล้ว ยิ่งต้องการความรักและกำลังใจจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีมากกว่าคู่สมรสทั่วไป การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นเรื่องที่กระทบต่อความรู้สึกและสะเทือนใจโจทก์เป็นอย่างยิ่ง โดยจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมและก่อให้เกิดการล่มสลายในชีวิตครอบครัวของโจทก์โดยตรง ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทน 1,000,000 บาท เหมาะสมแล้ว)
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ และกรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849