รวมคำพิพากษาศาลฎีกา » ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …

29 มีนาคม 2024
18505   0

Lawyer Council Online Share

ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ

3214.ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าความจริงในคำเบิกความของจำเลยเป็นอย่างไร ก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาฎีกาที่ 3054/2566 ( เล่ม 10 หน้า 2351) (ประชุมใหญ่) โจทก์บรรยายฟ้องความผิดข้อหาเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา ตาม ป.อ.มาตรา 175 โดยกล่าวถึงข้อความซึ่งอ้างว่าจำเลยเอาความอันเป็นเท็จฟ้องโจทก์ต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา และได้บรรยายฟ้องด้วยว่าความจริงเป็นประการใด แล้วโจทก์บรรยายฟ้อง ต่อเนื่องเชื่อมโยงกับข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล ตาม ป.อ. มากตา 177 วรรคสอง โดยข้อหานี้โจทก์กล่าวถึงข้อความซึ่งอ้างว่าจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาลว่าไว้ด้วย แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่าความจริงเป็นประการใด แต่เมื่อได้อ่านคำฟ้องโดยรวมทั้งหมดแล้วก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าความจริงเป็นเรื่องเดียวกันกับที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าความจริงเป็นประการใดในข้อหาเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญา ตาม ป.อ. มาตรา 175 กล่าวคือ ความจริงแล้วจำเลยได้ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ บ. ต่อมา บ. ขายที่ดินพิพาทให้แก่ อ. และโจทก์ การที่จำเลยให้การปฏิเสธและอุทธรณ์ฎีกาต่อมาโดยมิได้ฎีกาว่า จำเลยไม่เข้าใจฟ้องของโจทก์ในข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ทั้งมิได้หลงต่อสู้ คำฟ้องของโจทก์ในข้อหาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล ตาม ป.อ. มาตรา 177 เป็นคำฟ้องชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 158(5)

จำเลยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยสิ้นสิทธิในการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ขายและส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่ บ. ตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยกลับมาอ้างสิทธิตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก บ. และ ด. เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ส่วนโจทก์จะได้สิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ เป็นอำนาจของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่จะต้องพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย การที่จำเลยฟ้องโจทก์ในความผิดฐานบุกรุก จึงเป็นการเอาความอันเป็นเท็จมาฟ้องโจทก์ต่อศาลว่า กระทำความผิดอาญา จำเลยจะอ้างว่าเข้าใจโดยสุจริตว่ายังมีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจึงใช้สิทธิฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งและคดีอาญาย่อมฟังไม่ขึ้น ทั้งข้อความที่จำเลยเบิกความยืนยันว่าจำเลยและครอบครัวครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ด้วยตนเองซึ่งเป็นฝ่ายเท็จ ความจริงแล้วโจทก์และ อ. เป็นผู้มีสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินและไม่ได้บุกรุกที่ดินพิพาทตามที่จำเลยเบิกความ ซึ่งหากศาลเชื่อว่าโจทก์กระทำผิดจริงศาลอาจพิพากษาลงโทษโจทก์ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและเสรีภาพ การเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในการพิจารณาคดีอาญา ซึ่งเป็นความผิดฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล จำเลยจึงมีความผิดฐานเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญาและฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล

(หมายเหตุ 1 จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า คำเบิกความของจำเลยเป็นความเท็จอย่างไรเท่านั้น ส่วนความจริงเป็นอย่างไรไม่ได้บรรยายไว้ เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(5)

2 ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่าความจริงเป็นประการใด แต่อย่างไรก็ดีเมื่อได้อ่านคำฟ้องโดยรวมทั้งหมดแล้ว ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าความจริงดังกล่าวก็เป็นเรื่องเดียวกันกับที่โจทก์บรรยายฟ้องให้เห็นว่าความจริงเป็นประการใดในข้อหาเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดอาญาตามป.อ. มาตรา 175

3 จำเลยฎีกา ขอให้รอการลงโทษ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานเอาความอันเป็นเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่า กระทำความผิดอาญาและฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล กฎหมายมิเพียงแต่จะคุ้มครองสิทธิของคู่ความในคดี แต่ยังมุ่งคุ้มครองกระบวนพิจารณาคดีของศาลเพื่อให้ศาลสามารถวินิจฉัยคดีได้อย่างถูกต้องเที่ยงธรรมอีกด้วย ทั้งเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรมซึ่งเป็นความผิดต่อรัฐ การกระทำความผิดของจำเลยจึงไม่เพียงแต่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่ยังทำให้การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีของศาลผิดไปจากความเป็นจริง พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือมีเหตุอื่นที่จำเลยอ้างในฎีกา ก็ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลย

4 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 175 ,177 วรรคสอง รวมเป็นจำคุก 4 ปี

5 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกรวม 2 ปี

6. ศาลฎีกา พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุกรวม 12 เดือน)

นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ และกรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849