ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …
3298.ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลมีผลเฉพาะคู่ความที่ทำสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 128/2566 การทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในศาลภายหลังจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองแล้วเกิดขึ้นในศาลขณะที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่คู่ความเฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1 แสดงเจตนาระงับข้อพิพาทตามฟ้องโดยประสงค์ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับหนี้ตามฟ้องตามข้อตกลงดังกล่าว มิใช่เพื่อระงับหนี้เดิม จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาเฉพาะโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้มีผลเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 ที่โจทก์ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้จัดการมรดก กรณีจึงไม่มีผลทำให้หนี้ตามสัญญากู้เงินระงับหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันเป็นการแปลงหนี้ใหม่
(หมายเหตุ 1 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ทายาทของ น. ให้รับผิดแทน น.ในฐานะผู้ค้ำประกัน โดยจะชำระเงินคืนภายในวันที่ 1 มีนาคม 2559 ซึ่งจำเลยที่ 1 กับ น. มีศักดิ์เป็นอาหลานกัน
2 จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินคืน โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 12 กันยายน 2560 บอกเลิกสัญญาและทวงถามไปยังจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทของ น. ภายหลังจากที่ น.ตายไปเกือบ 11 เดือน
3 กลุ่มงานตรวจเอกสาร กองพิสูจน์หลักฐานกลางตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในหนังสือค้ำประกัน ด้านหลัง เปรียบเทียบกับตัวอย่างลายมือชื่อของ น. แล้วลงความเห็นว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน
4 ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561 โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน
5 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า น. ทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้องให้ไว้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ น. จึงต้องรับผิดนำทรัพย์สินจากกองมรดกมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 2 นำทรัพย์สินจากกองมรดกของ น. มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ดังกล่าว สำหรับสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ทำกับโจทก์ในระหว่างพิจารณานั้น พิจารณาแล้วเห็นว่าชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
6 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า การทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ทำให้หนี้ตามสัญญากู้เงินระงับเกิดเป็นหนี้ใหม่อันถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ จึงไม่มีหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดอีกตาม ป.พ.พ. มาตรา 698 โดยพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
7 ประเด็นว่า ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อของ น. หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตกลงท้ากันให้ถือตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นข้อแพ้ชนะ ในขณะที่ความแตกต่างของลายมือชื่อที่เป็นปัญหากับตัวอย่างลายมือชื่อที่ตรวจพิสูจน์อาจเกิดจากบุคคลที่เป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นเองเจตนาลงลายมือชื่อที่เป็นปัญหาให้ผิดไปจากที่เคยลงลายมือชื่อไว้ หรืออาจเกิดจากปัจจัยอย่างอื่น เช่น ความเร่งรีบ อิริยาบถ สภาวะอารมณ์ อาการเจ็บป่วย หรืออาจมีสาเหตุมาจากกระดาษที่ลงลายมือชื่อหรือปากกาที่ใช้ก็เป็นได้ หาใช่ว่าเมื่อผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นอย่างไรแล้ว ศาลจะต้องรับฟังตามนั้นเสมอไป
8 ประเด็นว่า จำเลยที่ 2 หลุดพ้นความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่จะต้องใช้เงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยข้างต้น โดยพิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้จำเลยที่ 2 นำทรัพย์สินจากกองมรดกของ น. มาชำระหนี้ต้นเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2558 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2559 และนับถัดจากวันที่ 1 มีนาคม 2559 ไปอีก 60 วัน)
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849