ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …
3202.หลอกให้โอนที่ดินเพื่อนำไปกู้ยืมเงินจากธนาคาร แต่นำไปขายฝากแทน เพิกถอนการโอนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2136/2566 (เล่ม 3 หน้า 165) จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ให้ลงทุนในบริษัท ย. จนโจทก์ต้องการลงทุน แต่โจทก์ไม่มีเงิน จำเลยที่ 1 จึงบอกให้โจทก์กู้เงินจากธนาคาร แต่โจทก์ไม่มีคุณสมบัติที่ธนาคารจะอนุมัติให้กู้เงินได้ จำเลยที่ 1 จึงหลอกลวงโจทก์ให้โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 เพื่อจำเลยที่ 1 จะนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปขอกู้เงินจากธนาคาร โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 1 มีความน่าเชื่อถือมากกว่าโจทก์ เมื่อได้เงินกู้มาแล้วจะนำมาให้โจทก์ใช้ลงทุนในบริษัท ย. แต่เมื่อโจทก์โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 กลับนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปจดทะเบียนขายฝากแก่จำเลยที่ 2 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ให้โอน โดยการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีเจตนาซื้อขาย ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างกันอย่างแท้จริง โจทก์และจำเลยที่ 1 มีเจตนาให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำไปขอกู้เงินจากธนาคาร แล้วนำเงินกู้มาให้แก่โจทก์ใช้ลงทุนเนื่องจากโจทก์ไม่มีคุณสมบัติ ที่ธนาคารจะอนุมัติให้กู้เงินได้ ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ชำระราคาที่ดินแก่โจทก์ นิติกรรมซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นการทำกันไว้หลอกๆ จึงเป็นเพียงเจตนาลวงเพื่อให้จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปขอกู้เงินจากธนาคารเท่านั้น จึงตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 155 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ซื้อฝากที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ได้ โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ สำหรับเงิน 2,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ชำระแก่โจทก์ในกรณีที่ไม่สามารถจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้นั้น เป็นเงินจำนวนเดียวกับที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง โดยมีคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยที่ 1 คืนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างหรือชดใช้ราคา ซึ่งโจทก์ได้เข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วม คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิด และให้จำเลยที่ 1 คืนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 2,000,000 บาท แก่โจทก์ร่วม (โจทก์ในคดีนี้) เมื่อศาลในคดีอาญาพิพากษาตามคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยที่ 1 คืนเงิน 2,000,000 บาท แก่โจทก์แล้ว คำขอเกี่ยวกับเงินจำนวนดังกล่าวในคดีนี้ ซึ่งแม้จะได้ฟ้องไว้ก่อนคดีอาญา ก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 144 โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องเงินจำนวนนี้คืนจากจำเลยที่ 1 ได้อีก
ป.วิ.อ.มาตรา 43 บังคับให้พนักงานอัยการฟ้องเรียกได้แต่เฉพาะต้นเงินเท่านั้น สภาพไม่เปิดช่องให้เรียกดอกเบี้ยได้เพราะดอกเบี้ยไม่ใช่ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิด การที่พนักงานอัยการไม่ได้ฟ้องเรียกดอกเบี้ยมาในคดีก่อนจึงไม่ใช่ค่าเสียหายที่พนักงานอัยการสามารถฟ้องเรียกแทนผู้เสียหายได้แล้วไม่เรียก ฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในส่วนของดอกเบี้ยจึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และนิติกรรมขายฝากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ย่อมกลับมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยผลของคำพิพากษา จำเลยทั้งสองไม่ต้องไปจดทะเบียนเพิกถอนและไม่มีสิ่งใดที่จะต้องบังคับจำเลยทั้งสองต้องปฏิบัติโดยการแสดงเจตนาอีก จึงไม่จำต้องสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
(หมายเหตุ 1 คดีนี้ โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำนิติกรรมซื้อขายกัน แต่ไม่ได้ชำระราคาที่ดิน เป็นการทำกันไว้หลอกๆ จึงเป็นเจตนาหลวง
2 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่จำเลยที่ 2 ในราคา 1,160,000 บาท ซึ่งเป็นราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาด
3 ในทางนำสืบ จำเลยที่ 2 มีเงินฝากอยู่ในบัญชีตามสำเนาบัญชีเงินฝาก เป็นเงิน 800,000 บาท และอ้างว่าเตรียมเงินสดไว้อีก 400,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 2 มีเงินเพียงพอที่จะซื้อแคชเชียร์เช็คให้เต็มจำนวนเงินค่าซื้อฝาก แต่จำเลยที่ 2 ไม่ซื้อแคชเชียร์ให้เต็มจำนวน แต่กับถอนเงิน 800,000 บาท แล้วซื้อแคชเชียร์เช็คเพียง 650,000 บาท พฤติการณ์เสมือนหนึ่งว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเงินสดตามที่อ้าง
4 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และนิติกรรมขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
5 ศาลฎีกามีคำวินิจฉัยข้างต้น โดยพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 200,000 บาท กับยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเพิกถอนการขายและขายฝากและที่ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาของจำเลยทั้งสอง)
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ และกรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849