ฎีกาเด่นรายวันโดยที่ปรึกษา ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ …
3653.ตัดไม้ยูคาลิปตัสในป่าสงวนแห่งชาติ
คำพิพากษาฎีกาที่ 5533/2567 (เล่ม 10 หน้า 2297) พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติว่า “ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ…” และตามมาตรา 4 ให้คำนิยามของคำว่า “ทำไม้” หมายความว่า ตัด ฟัน กาน โค่น ลิด เลื่อย ผ่า ถาก ทอน ขุด หรือชักลากไม้ที่มีอยู่ในป่า หรือนำไม้ที่มีอยู่ในป่าออกจากป่าด้วยประการใดๆ โดยไม่มีข้อความส่วนไหนของมาตรา 14 ระบุว่า จะต้องมีการประกาศห้ามก่อน หากฝ่าฝืนประกาศจึงจะเป็นความผิดตามคำนิยามของคำว่า “ทำไม้” ก็ไม่ได้ระบุว่า ต้องเป็นการกระทำต่อไม้หวงห้ามตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเข้าไปทำไม้ยูคาลิปตัสซึ่งมิใช่ไม้หวงห้ามที่ขึ้นอยู่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงใหญ่ ด้วยการตัด ฟัน โค่น เลื่อย ต้นยูคาลิปตัสจนขาดออกจากต้นแล้วทอนเป็นท่อนๆ ได้ไม้ยูคาลิปตัส 22 ท่อน ปริมาตรรวม 1.74 ลูกบาศก์เมตร อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้ที่เป็นท่อนเกิน 20 ท่อน ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือได้ว่าฟ้องโจทก์บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดตลอดจนข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) เช่นนี้ฟ้องโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดฐานทำไม้ หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 แล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้ที่เป็นท่อนเกิน 20 ท่อน ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้นมาในฟ้องแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา31 วรรคสอง(2) และ พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 100 วรรคสาม เป็นการชอบแล้ว
อุทธรณ์โจทก์นอกจากขอให้ปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องแล้ว ยังอุทธรณ์โต้แย้งโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดแก่จำเลย และขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 100(3) ซึ่งระวางโทษขั้นต่ำสูงกว่าโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นกำหนดแก่จำเลย มีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ประสงค์ที่จะให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้โดยปรับบทกฎหมายและเปลี่ยนแปลงโทษที่จะลงแก่จำเลยให้เป็นไปตามบทกฎหมายที่ถูกต้องตามที่โจทก์อุทธรณ์ เป็นการชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้แก้ไขในส่วนบทความผิด และเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เพียงแต่ปรับบทกฎหมายซึ่งเป็นบทหนักที่สุดที่ใช้ลงโทษจำเลยให้ถูกต้องและระบุวรรคให้ชัดเจน ถือไม่ได้ว่าเป็นการแก้ไขบท แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะแก้ไขโทษโดยกำหนดโทษสูงขึ้นตามบทหนักที่ใช้ลงโทษแก่จำเลยก็เป็นเพียงการแก้ไขเล็กน้อย โดยยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
(หลักกฎหมาย ป.วิ.อ.มาตรา 158 , 212 , 218)
นายผดุงศักดิ์ จันเดชชนะวงศ์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ กรรมการสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา และกรรมการสภาทนายความภาค 3 ปีบริหาร 2565-2568 โทร.081-9663849